พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2567 ที่เป็นที่รู้จักในชื่อ “สมรสเท่าเทียม” จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 22 ม.ค. 2568 นับก้าวสำคัญของกฎหมายครอบครัวไทย ที่เปิดโอกาสให้บุคคลทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
กฎหมายสมรสเท่าเทียม ความยาว 21 หน้า มีทั้งสิ้น 69 มาตรา ถูกจัดทำขึ้นเพื่อรองรับให้บุคคลเพศหลากหลายสามารถหมั้นและสมรสกันได้ ทำให้มีสิทธิ หน้าที่ และสถานะทางครอบครัวเท่าเทียมกับคู่สมรสชายและหญิง
6 ประเด็นสำคัญ ทุกคนสมรสอย่างเท่าเทียม
- ปรับอายุขั้นต่ำสำหรับการหมั้นและสมรส จากเดิม 17 ปี เป็น 18 ปี
- รับรองการสมรสระหว่างบุคคลทุกเพศ โดยมีการแก้ไขถ้อยคำในกฎหมายจาก “ชาย” และ “หญิง” เปลี่ยนเป็นคำว่า “บุคคล” เพื่อให้ครอบคลุมคนทุกเพศ
- เปลี่ยนคำเรียกคู่สมรส จาก “สามี” และ “ภริยา” เป็น “คู่สมรส” เพื่อความเป็นกลางทางเพศ
- คนไทยสามารถจดทะเบียนสมรสกับชาวต่างชาติโดยใช้กฎหมายไทยได้
- ปรับปรุงสิทธิในการรับบุตรบุญธรรม ทำให้คู่สมรสเพศเดียวกันมีสิทธิรับบุตรบุญธรรมร่วมกันเช่นเดียวกับคู่สมรสทั่วไป
- คู่สมรสทุกคู่มีสิทธิและหน้าที่เท่าเทียมกัน เช่น สิทธิในการรับมรดก การตัดสินใจทางการแพทย์แทนคู่สมรส และการได้รับสวัสดิการจากรัฐ
4 ข้อต้องห้าม ไม่อนุญาตให้สมรส
อย่างไรก็ตาม กฎหมายสมรสเท่าเทียม ยังคงมีข้อห้ามเกี่ยวการสมรสไว้ตามเดิม 4 ข้อ ดังนี้
- บุคคลวิกลจริตหรือบุคคลที่ศาลสั่งเป็นคนไร้ความสามารถ ไม่สามารถสมรสได้ (มาตรา 1449)
- ห้ามสมรสกับญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมา พี่น้องร่วมบิดามารดา หรือร่วมแต่บิดาหรือมารดา ความเป็นญาตินี้ให้ถือตามสายโลหิต ไม่คำนึงว่าจะเป็นญาติโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ (มาตรา 1450)
- ห้ามผู้รับบุตรบุญธรรมสมรสกับบุตรบุญธรรม (มาตรา 1451) หากผู้รับบุตรบุญธรรมสมรสกับบุตรบุญธรรม การรับบุตรบุญธรรมย่อมเป็นอันยกเลิกไป (มาตรา 1498/32)
- ห้ามบุคคลสมรสขณะที่มีคู่สมรสอยู่แล้ว หรือ ห้ามสมรสซ้อน (มาตรา 1452)
13 ปีที่รอคอย ไทยมี “สมรสเท่าเทียม” ชาติที่ 38 ของโลก
ปี 2555 นายนที ธีระโรจนพงษ์ นักเคลื่อนไหวทางสังคมได้ยื่นขอจดทะเบียนสมรสกับคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันมากว่า 19 ปี แต่ถูกปฏิเสธ เนื่องจากกฎหมายรับรองการจดทะเบียนสมรสต้องเป็นชายกับหญิงเท่านั้น ทำให้ในเวลานั้น เริ่มมีการเรียกร้องและผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมเกิดขึ้น
กว่า “สมรสเท่าเทียม” จะถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง กินเวลานานกว่า 8 ปี โดยในปี 2563 “ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์” สส.ก้าวไกล ในขณะนั้น ได้ยื่นร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้แรก โดยยืนยันหลักการว่าการตั้งครอบครัว เป็นสิทธิของคนทุกคน ไม่เกี่ยวกับเพศสภาพ
พฤศจิกายน 2564 ศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่คำวินิจฉัยจากคำร้องของคู่รักหญิง-หญิง ที่ยื่นคำขอจดทะเบียนสมรส แต่ถูกนายทะเบียนปฏิเสธ โดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์ เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรดำเนินการตรากฎหมายเพื่อรับรองสิทธิและหน้าที่ของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ
อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ในสภามีเหตุให้ต้องล่าช้าออกไป หลังจากที่ประชุมลงมติให้นำร่างกฎหมายกลับไปศึกษา 60 วัน ก่อนส่งกลับคืนสภาต่อไป
มิถุนายน 2565 จาก “สมรสเท่าเทียม” ที่ถูกชะลอออกไป ถูกเสนอกลับมาในสภา พร้อมกับร่างกฎหมายอีกฉบับ คือ “พ.ร.บ.คู่ชีวิต” เสนอโดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย แต่ท้ายที่สุด สภาก็รับหลักการวาระแรกให้กับกฎหมายทุกฉบับ
ต่อมามีการยุบสภา ทำให้ร่างกฎหมายค้างอยู่ในสภา และต้องรอให้รัฐบาลนำกลับมาพิจารณาภายใน 60 วัน นับตั้งแต่มีการเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรก
ในการเลือกตั้ง 2566 พรรคก้าวไกล ยื่นร่างกฎหมายเปลี่ยนประเทศ 9 ฉบับ หนึ่งในนั้นคือ “สมรสเท่าเทียม” กระทั่งสภาผู้แทนราษฎร ลงมติรับหลักการวาระแรก เมื่อเดือนธันวาคม 2566
27 มีนาคม 2567 ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ของไทย หลังสภาผู้แทนราษฎรลงมติวาระ 3 ผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ด้วยมติเห็นชอบ 400 เสียง ไม่เห็นด้วย 10 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง ไม่ลงคะแนน 3 เสียง ทำให้กฎหมายเดินหน้าสู่การพิจารณาในชั้นวุฒิสภาต่อไป
18 มิถุนายน 2567 วุฒิสภาลงมติเห็นชอบร่างกฎหมาย ด้วยมติเห็นชอบ 130 เสียง ไม่เห็นชอบ 4 เสียง งดออกเสียง 18 เสียง กระทั่ง “สมรสเท่าเทียม” ถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจะมีผลใช้บังคับในอีก 120 วันถัดมา ซึ่งตรงกับวันที่ 22 มกราคม 2568
จากการสำรวจกฎหมายทั่วโลก พบว่า การประกาศใช้ “สมรสเท่าเทียม” จะทำให้ ประเทศไทยเป็นชาติแรกของภูมิภาคเอกเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และเป็นแห่งที่ 3 ของทวีปเอเชีย ต่อจาก ไต้หวันและเนปาล หรือนับเป็นแห่งที่ 38 ของโลก ที่จะใช้บังคับกฎหมายนี้
ดีเดย์! 22 ม.ค. 68 รับรองจดทะเบียนสมรส
หลายหน่วยงานของรัฐ เตรียมความพร้อมรองรับกฎหมายสมรสเท่าเทียม โดยเฉพาะสำนักงานเขตหรืออำเภอ เตรียมที่จะเปิดให้มีการจดทะเบียนสมรส
โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ประกาศความพร้อมรับจดทะเบียนสมรสอย่างเท่าเทียม โดยเอกสารที่ต้องใช้คือบัตรประชาชนใบเดียว และคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการ 20-30 นาทีต่อคู่ โดยจะมีกรซักซ้อมการทำงานในวันที่ 4 ม.ค. 2568 ก่อนที่จะเริ่มจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมได้ตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป