เอสซีจี เผยปี 67 กำไร 6.3 พันล้านบาท เคาะปันผล 5 บาท/หุ้น
เอสซีจี เผยปี 67 กำไร 6.3 พันล้านบาท กระแสเงินสดฯ 5.4 หมื่นล้านบาท ระดับเดียวกับปี 2566 เคาะปันผล 5 บาท/หุ้น เกือบ 100% ของกำไร
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (เอสซีจี) (SCC) แจ้งผลประกอบการ ปี 2567 คงความสามารถในการบริหารกระแสเงินสด จากการดำเนินงาน หรือ EBITDA ได้ดี อยู่ที่ 53,946 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับปี 2566 ผลจากการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ บริหารต้นทุนต่อเนื่อง เร่งส่งมอบนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง ตลอดจนได้รับเงินปันผลในปี 2567 รวม 14,063 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนในธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตรและธุรกิจยานยนต์

เอสซีจีเผยถึงความคืบหน้ามาตรการปรับตัว รับมือเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งได้แถลงไปเมื่อสิ้นไตรมาส 3 ปี 2567
- บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน ลดลงประมาณ 6,200 ล้านบาทจากปีก่อน
- ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ และหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไรในปี 2567 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
- ควบคุมเงินลงทุน (CAPEX) เน้นเฉพาะโครงการที่มีผลตอบแทนสูงและเร็ว ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้หนี้สินสุทธิลดลง 16,777 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน อัตราหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 0.7 เท่า สถานะทางการเงินยังมั่นคงและแข็งแกร่ง โดยมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นปี 53,331 ล้านบาท
เมื่อพิจารณาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) ที่ยังคงตัวอยู่ในระดับเดียวกับปี 2566 คณะกรรมการบริษัท
จึงมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 5.00 บาท รวมเป็นเงิน 6,000 ล้านบาท คิดเป็น 95% ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม
ซึ่งคณะกรรมการมีความเห็นว่าเป็นอัตราเงินปันผลที่เหมาะสมและอยู่ในกรอบ นโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัท ที่กำหนดในช่วงอัตรา 40-50% ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวม แต่ในกรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุการณ์ไม่ปกติ บริษัทอาจนำมาประกอบการพิจารณา เปลี่ยนแปลงการจ่ายเงินปันผลในช่วงนั้น ๆ ตามความเหมาะสมได้ ปีนี้คณะกรรมการบริษัท จึงเห็นสมควรเสนอการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ตามข้างต้น เพื่อมุ่งดูแลผู้ถือหุ้นให้ได้รับ ผลตอบแทนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ขึ้น XD วันที่ 2 เมษายน 2568
บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับครึ่งปีแรกในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้าย ในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท กำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น เฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับ ของบริษัทตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 3 เมษายน 2568 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 2 เมษายน 2568) โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 เมษายน 2568 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี
อย่างไรก็ตาม ปี 2567 สถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีความท้าทาย และเป็นช่วงที่วัฏจักรปิโตรเคมีโลก ชะลอตัวต่ำสุดในรอบ 20 ปี ส่งผลให้เอสซีจีมีรายได้จากการขาย ปี 2567 อยู่ที่ 511,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน จากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจี เคมิคอลส์ และเอสซีจีพี
กำไรสำหรับปี 2567 อยู่ที่ 6,342 ล้านบาท ลดลง 76% จากปีก่อน จากผลประกอบการที่ เอสซีจีเคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) ได้มีการดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการลองเซินปิโตรเคมิคอลส์คอมเพล็กซ์ที่ประเทศเวียดนาม (LSP) ส่งผลทำให้ในปี 2567 มีค่าใช้จ่าย (จากค่าเสื่อมราคา และดอกเบี้ย) ประมาณ 6,000 ล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง
ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษจากขาดทุน การด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในภูมิภาค ในปี 2566 กำไรสำหรับปี ลดลง 52% จากปีก่อน สำหรับไตรมาส 4 ปี 2567 รายได้จากการขาย 130,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจี เคมิคอลส์ ขาดทุนสำหรับงวด 512 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไร 721 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน จากผลประกอบการและการรับรู้ค่าเสื่อมราคาทั้งหมดของ LSP ขณะที่ไตรมาสก่อน มีรายการเงินสด ที่ได้จากสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย หรือ Interest Rate Swap (IRS) มูลค่า 2,183 ล้านบาท จากเอสซีจี เคมิคอลส์
สำหรับในปี 2568 เอสซีจีคาดว่าจะมี EBITDA ที่ดีขึ้น ด้วยปัจจัยสนับสนุนจาก
- ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลงและมีการกระตุ้นเศรษฐกิจจากประเทศจีน ส่งผลดีต่อธุรกิจปิโตรเคมี
- การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในประเทศไทยคาดว่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องงานโครงการจากภาครัฐแนวโน้มเพิ่มขึ้นส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง
- การเติบโตในภูมิภาคยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนจากการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย
- เอสซีจีดำเนินงานต่อเนื่องในการบริหารจัดการภายใน มาตรการลดต้นทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงการเร่งแผนการดำเนินงานที่สำคัญ
- คาดการณ์รายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนสำหรับปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 30,000-35,000 ล้านบาท
- เอสซีจีเร่งดำเนินงานต่อเนื่อง เช่น เพิ่มสัดส่วนสินค้ามูลค้าเพิ่มสูง ขยายปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ Gen II และ Gen III
- เร่งขยายปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำไปยังตลาดอาเซียน SCGC Green Polymer โครงการก๊าซอีเทน LSP และแผนงานการ ขายสินทรัพย์ (Asset divestments) เป็นต้น
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปัจจุบัน Bloomberg consensus ให้คำแนะนำ SCC ถือ หลังการปรับลดประมาณการกำไรปี 2568-2569 ลงหนักถึง 70-75% ตั้งแต่ต้นปี 2567 ถึง YTD ประมาณการกำไรสุทธิของตลาดโดยรวมอยู่ที่ 1.32 หมื่นล้านบาท (+109% YoY) ในปี 2568 และ 1.77 หมื่นล้านบาท (+34% YoY) ในปี 2569
โดยคาดว่าตลาดจะมีการ downgrade ประมาณการกำไรเพิ่มอีกหลังประกาศงบไตรมาส 4 ปี 67 ไปแล้ว โดยเรายังคงมุมมองไม่ชัดเจน หลัก ๆ จาก ความไม่แน่นอนต่าง ๆ จากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และปัญหาอุปทานล้นตลาด นอกจากนี้ คาดว่ากำไรเบื้องต้นในไตรมาส1/68 จะยังคงอยู่ในระดับต่าเนื่องจากการค่อยๆฟื้นตัว และ spread ไม่ดี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหุ้นจะเทรดทั้ง P/E และ P/BV ในอดีตต่ำกว่า -2SD แต่ยังขาด re-rating catalyst ที่ชัดเจนโดยความเสี่ยงในการปรับลดประมาณการกำไรยังคงอยู่