ส่อง 3 ธีมลงทุน ตลาดหุ้นเกิดใหม่ยังเด่นทั้งจีน-อินเดีย
3 ธีมลงทุน มองตลาดหุ้นเกิดใหม่ยังเด่น แรงหนุน “จีน” ฟื้นตัว "อินเดีย" แข็งแกร่งเติบโตต่อ
นางสาวพฤกษา เอี่ยมธงทอง Deputy Head of Equities – Asia Pacific, Asian Equities, abrdn Asia Limited เปิดเผยว่า "อเบอร์ดีน" ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อ "ตลาดหุ้นเกิดใหม่" (Emerging Market) จากปัจจัยหนุนเศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นตัว รัฐบาลจีนปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งล่าสุดและคาดว่ามีแนวโน้มจะผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม เพื่อชดเชยกับแรงกดดันในประเทศจากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์และเงินเฟ้อยังอยู่ระดับต่ำ

ส่วนนโยบายการค้าสหรัฐ มองว่า อาจเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์การเจรจาของทรัมป์มากกว่า หากทรัมป์จะปรับขึ้นภาษีศุลกากรต่อจีน น่าจะอยู่ในสินค้าที่เป็นเป้าหมายในสงครามการค้าครั้งก่อน ขณะที่สินค้าบางประเภทอาจน้อยกว่า ซึ่งบริษัทในจีนเองก็ยังรอความชัดเจนเพื่อจะได้ปรับซัพพลายเชน
ตลาดหุ้นจีนเริ่มเห็นการฟื้นตัว
ด้านตลาดหุ้นจีนเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตอบรับรัฐบาลจีนมีการเปลี่ยนแปลงจุดยืนหลายด้าน ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ ครอบคลุมนโยบายการเงินและการคลัง เนื่องจากเศรษฐกิจจีนใน 2-3 ปีที่ผ่านมาชะลอตัวลงและเริ่มเป็นปัญหาทางสังคม การว่างงานสูงขึ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ราคาลดลงกระทบความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการใช้จ่ายภาคการบริโภคยังไม่กลับมา เนื่องจากคนจีนถือครองอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) จำนวนมาก
ตลาดหุ้นอินเดียและไต้หวันโดดเด่นในตลาดเอเชียมากขึ้น
สำหรับมุมมองตลาดหุ้นเอเชีย คาดว่าได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่เติบโตชะลอตัวลง ฉุดตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชีย Underperform ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ในขณะที่ตลาดหุ้นอินเดียและไต้หวันโดดเด่นในตลาดเอเชียมากขึ้น จากธีม Information Technology เป็นธีมค่อนข้างแข็งแกร่งในปีที่ผ่านมาและคาดแนวโน้มยังแข็งแกร่งต่อในปีนี้
ส่วนตลาดอาเซียน มองว่าได้ประโยชน์ในระยะกลางจากทรัมป์ 2.0 จากการกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Diversification) ที่เพิ่มขึ้น แต่ในระยะสั้นยังต้องรอความชัดเจนเรื่องภาษี ซึ่งคาดว่าไทย อินโดนีเซียและเวียดนามน่าจะได้ประโยชน์
โอกาสลงทุนหุ้นจาก 3 ธีม
ดังนั้น ธีมลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย ที่มองเห็นโอกาสลงทุนจาก 3 ธีม ได้แก่
1. Innovation แม้ว่าการเปิดตัวของ DeepSeek จะสร้างแรงกดดันต่อตลาดในระยะสั้น แต่ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบที่แท้จริงและสิ่งที่อเบอร์ดีนสังเกตุเห็นคือ บริษัทอินเทอร์เน็ตชั้นนำของสหรัฐฯ ยังคงใช้เงินลงทุน (capex) ที่สูงสำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI อย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงให้ระมัดระวังในการเลือกลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีมากขึ้น โดยในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา อเบอร์ดีน มีการปรับลดน้ำหนักการลงทุนลงเล็กน้อยในกลุ่มฮาร์ดแวร์และเซมิคอนดักเตอร์ จากปัจจัยเสี่ยงกรณีความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี อีกทั้งความเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้นจากการปรับลดเงินลงทุน
2. Globalisation 3.0 ได้รับแรงกระตุ้นจากความตื่นตระหนกของห่วงโซ่อุปทานในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งในรอบนี้ต้องติดตามดูว่าจะเปลี่ยนไปด้านไหน ขึ้นอยู่กับนโยบายภาษีของทรัมป์ แต่คาดว่าการกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Diversification) จะเกิดขึ้นเร็วและครอบคลุมมากขึ้นในหลายอุตสาหกรรม
3. New Consumption รูปแบบการบริโภคใหม่บ่งชี้ว่าผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายน้อยลง ซึ่งเริ่มเห็นการเติบโตจากจีนและอินเดีย อย่าง Meituan อยู่ในแถวหน้าของเทรนด์นี้ นำเสนอบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งรวมถึงชานมไข่มุกที่ส่งโดยโดรนที่กำแพงเมืองจีน เช่นเดียวกับอินเดีย สินค้าหลายแบรนด์เติบโตอย่างรวดเร็ว สามารถจัดส่งคำสั่งซื้อได้ภายใน 10 นาที แม้จะมีปัญหาการจราจร ซึ่งส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย
ลุ้นนโยบายภาษีทรัมป์ หวัง Fund Flow เข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย
สำหรับแนวโน้ม Fund Flow ที่คาดหวังจะไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย ยังคงต้องรอดูความชัดเจนนโยบายภาษีทรัมป์ว่าจะส่งผลกระทบต่อเอเชียมากน้อยแค่ไหน ซึ่งนักลงทุนเริ่มมองหาทางเลือกลงทุนหลังจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจนราคาค่อนข้างแพง ซึ่งตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียก็เป็นหนึ่งในทางเลือก เมื่อนโยบายภาษีมีความชัดเจนขึ้นและมีผลต่อภาพรวมตลาด โดยคาดว่าจะเริ่มเห็น Fund Flow ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย