"บลจ.อีสท์สปริง" มอง! การลงทุนทั่วโลกเผชิญความผันผวน
"บลจ.อีสท์สปริง" มอง! การลงทุนทั่วโลกเผชิญความผันผวน จับตา! 6 ประเทศเอเชีย น่าลงทุน พร้อมแนะกลยุทธ์เอาตัวรอดนักลงทุนปี 68
ปี 2568 การลงทุนของโลก ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ทั่วโลกเผชิญความผันผวน ทั้งจากปัญหา เศรษฐกิจและสงครามการค้าจากนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา ล้วนมาจากการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่ง บลจ.อีสท์สปริง มองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก จะอยู่ในระดับปานกลางในช่วงครึ่งปีแรก ของปี 2568 โดยภาวะเศรษฐกิจใน สหรัฐอเมริกาและจีนจะเป็นตัวแปรของการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลัง

นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยว่า จากนโยบายรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่นี้ จะสนับสนุนการเติบโตระยะสั้น และสนับสนุนแนวโน้มดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าในระยะกลาง รวมทั้งจะทำให้เกิดเงินเฟ้อมากขึ้น ที่อาจทำให้รอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดช้าลง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมของเฟดอาจจะสูงขึ้น พันธบัตรอาจถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น และควรเน้นไปยังตราสารหนี้คุณภาพ
ผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ยังคงยากที่จะคาดเดาและหลายประเด็นอาจไม่ได้นำไปปฏิบัติทั้งหมด ความล่าช้าของนโยบายและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเงินเฟ้อและแนวโน้มของทิศทางดอกเบี้ยจะนำไปสู่ความผันผวนของตลาดที่สูงขึ้น....ดารบุษป์ กล่าว
ขณะที่ในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ มีความดึงดูดในแง่ของการขยายตัวทางเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว และปัจจัยขับเคลื่อนในระยะยาวยังคงอยู่ เช่น การใช้จ่ายเงินทุนที่เพิ่มขึ้น การลดการปล่อยคาร์บอน และ การกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทานน่าจะช่วยยกระดับรายได้ของบริษัทจดทะเบียน
อย่างไรก็ตาม บลจ.อีสท์ปริง ยังได้คาดการณ์ ภาพรวมดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ว่า ในปีนี้ ดัชนีราคาหุ้นไทย จะลดลงอยู่ในจุดที่ต่ำสุดไม่เกิน 1,270 จุด และขึ้นสูงสุดไม่เกิน 1,350 จุด
ไทย หนึ่งในประเทศน่าจับตามองเป็นโอกาสการลงทุนในเอเชียและตลาดเกิดใหม่
1.จีน ที่ยังมีมุมมองที่ดีแต่ยังคงระมัดระวังผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ แต่การประเมินมูลค่าหุ้นค่อนข้างถูกและ มาตรการการกระตุ้นทางการคลังที่อาจเกิดขึ้นจะช่วยลดผลกระทบจากความท้าทายจากภายนอกได้ รวมถึงมาตรการที่ กระตุ้นภาคการบริโภค
2.อินเดีย การบริหารจัดการเชิงรุกถือเป็นปัจจัยสำคัญท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับโมเมนตัมของเศรษฐกิจของอินเดีย ที่ชะลอตัวลง และการประเมินมูลค่าตลาดที่ตึงตัว บริษัทในอินเดียยังคงค่อนข้างแข็งแรง โดย ROE กำลังดีขึ้นและ อัตราส่วนหนี้สินกำลังลดลง การปรับฐานของตลาดในอินเดียในไตรมาส 4 ปี 2567 ทำให้ผู้ลงทุนมีจุดเข้าลงทุนที่ น่าสนใจมากขึ้น หุ้นขนาดใหญ่มีราคาที่น่าสนใจมากกว่าหุ้นขนาดเล็ก ROE
3.ญี่ปุ่น การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นญี่ปุ่นอาจขยายวงกว้างไปยังหุ้นขนาดกลางถึงเล็ก ซึ่งน่าจะได้รับประโยชน์จาก ค่าจ้างที่สูงขึ้นและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น คาดว่าการปฏิรูปองค์กรต่างๆ จะดำเนินต่อไป ซึ่งจะช่วยสนับสนุน ผลกำไรและราคาหุ้น และเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออก แต่จะส่งผลดีต่อบริษัทในประเทศที่พึ่งพา การนำเข้า
4.อินโดนีเซีย นโยบายสนับสนุนการเติบโตของรัฐบาลปราโบโวและมาตรการทางการคลัง คาดว่าจะช่วยเสริมสร้างภาค สินค้าอุปโภคบริโภคและการเงิน การให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเพื่อสวัสดิการประชาชนของรัฐบาล จะช่วยกระตุ้น การบริโภคและสร้างโอกาสให้กับบริษัทที่จำหน่ายอาหารที่เน้นความคุ้มค่าคุ้มราคา
5.เวียดนาม บริษัทในกลุ่มการเงิน สินค้าอุปโภคบริโภค เทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึง โลจิสติกส์ อยู่ ในกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก รวมถึงการเพิ่มขึ้นของการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย
และ 6.ประเทศไทย ถึงแม้ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ความไม่แน่นอนด้านภาษี ศุลกากรของสหรัฐฯ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่ลดลงในบริษัทจดทะเบียน และการขายกองทุนรวมหุ้นระยะ ยาว (LTF) แต่ตลาดไทยยังได้รับการสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว การเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายภาครัฐ และ มาตรการกระตุ้นทางการคลังที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีกว่าปี 2567 กลุ่ม ธนาคารเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้และธุรกิจ Healthcare ซึ่งเป็นกลุ่มเชิงรับคาด ว่าจะเป็นกลุ่มได้รับประโยชน์จากความผันผวนของตลาด
ด้วยภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนมากขึ้น นักลงทุนจึงจำเป็นต้องมีวินัยในการบริหารความเสี่ยงและ ผลตอบแทน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk-Adjusted Returns) โดยกลยุทธ์ การลงทุนเชิงรับ เช่น การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ การลงทุนแบบผสมหลายสินทรัพย์ และการลงทุนที่เน้นรายได้จากเงินปันผล จะช่วยลดความเสี่ยงด้านลบและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว
นอกจากนี้ การคว้าโอกาสจากเทรนด์ที่มาแรงจากอุตสาหกรรมดั้งเดิมสู่เทคโนโลยีสีเขียวเป็นโอกาสการลงทุน ขณะที่ บริษัทเทคโนโลยีในเอเชียเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าสำหรับการลงทุนใน AI
4 ธีมการลงทุนน่าสนใจและแนะนำในปี 2568
สำหรับ 4 ทีม การลงทุน ที่บลจ.อีสท์สปริงมองว่าน่าสนใจ และแนะนำในปี 2568 แบ่งเป็น
1.โอกาสในเอเชีย โดยคาดว่ากองทุนเอเชียที่มีความผันผวนต่ำจะเป็นโอกาสในการลงทุน โดยมองว่าประเทศอินเดีย ยังคงมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงการขยายตัวของประชากร และค่าเฉลี่ยแรงงานที่อายุไม่มากซึ่งส่งผลดีต่อกำลังซื้อ ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นจากค่าแรงที่ปรับตัวขึ้น
2.การเติบโตที่มีศักยภาพ คาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะยังคงขยายตัวได้ท่ามกลางความผันผวน และคาดว่ากำไร จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2568
3. การเข้าสู่โหมดลดอัตราดอกเบี้ย คาดว่าเฟดจะยังคงลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ซึ่งอาจจะเป็นในช่วงครึ่งปีหลัง และ การลดอัตราดอกเบี้ยอาจจะน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก็ตาม แต่เมื่อรวมกับผลตอบแทนที่น่าสนใจ เราเชื่อว่าตราสาร หนี้คุณภาพสูงและกลยุทธ์การปรับอายุตราสาร(Duration)ที่ยืดหยุ่นนั้น จะเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ
4.การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เพราะ ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความผันผวน การมีกองทุนเชิงรับในพอร์ต เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างสมดุลให้กับการลงทุน
แนวทางจัดพอร์ตการลงทุน ในปี 2568
สำหรับแนวทางการจัดพอร์ตในปี 2568 นี้ บลจ. อีสท์สปริง ได้แนะนำว่า
- สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยมาก แนะนำลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ใน ประเทศ 70% กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 30%
- นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย แนะนำลงทุนในกองทุนตรา สารหนี้ในประเทศ 45% กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 30% กองทุนหุ้นต่างประเทศ 25%
- นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง แนะนำลงทุน กองทุนหุ้นต่างประเทศ 45% กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 25% กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 20% กองทุนหุ้นไทยและกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างละ 5%
- นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก แนะนำลงทุนกองทุนหุ้นต่างประเทศ ต่างประเทศ 65% กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 25% กองทุนหุ้นไทย กองทุน และกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างละ 5 %
และ สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากที่สุด แนะนำลงทุนกองทุนหุ้นต่างประเทศ 80% กองทุนหุ้นไทย และกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างละ 10%