OR โชว์กำไร Q1/68 อยู่ที่ 4,380 ล้านบาท โต 17.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
OR โชว์กำไร Q1/68 อยู่ที่ 4,380 ล้านบาท โต 17.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โบรกฯ มอง หุ้นกลับมามี Upside ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ”
หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของ OR ในไตรมาสแรกของปี 2568 มีรายได้ขายและบริการ 182,422 ล้านบาท ลดลง 3,482 ล้านบาท หรือลดลง 1.9% จากไตรมาสก่อนหน้า มีกำไรสุทธิ จำนวน 4,380 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน 46% เติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน 17.6% อยู่ที่ 3,723 ล้านบาท

และมี EBITDA จำนวน 6,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,597 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 32.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากทุกกลุ่มธุรกิจ
โดยกลุ่มธุรกิจ Mobility เพิ่มขึ้น 39.6% จากภาพรวมกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่ดีขึ้น กลุ่มธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้น 9.8% จากเพิ่มขึ้นทั้งธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจอื่น ๆ เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจ Global เพิ่มขึ้น 30.8% จากการฟื้นตัวของผลประกอบการในประเทศฟิลิปปินส์ ส่วนภาพรวมของค่าใช้จ่ายดำเนินงานสุทธิลดลง
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา OR ยังคงขยายธุรกิจด้านไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านสุขภาพและความงาม (Health & Beauty) โดยล่าสุดขยายเครือข่ายร้าน found & found เป็น 10 สาขา ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พร้อมวางเป้าหมายขยายเป็น 50 สาขาภายในปี 2569 อีกทั้งยังได้จัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อดำเนินธุรกิจและการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เป็นกลยุทธ์สร้างการเติบโตในธุรกิจ Lifestyle ในอนาคต
นอกจากนี้ ยังได้เปิด Café Amazon Concept Store แห่งแรกในกัมพูชา
ล่าสุด OR ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ “AA+” จากทริสเรทติ้ง (TRIS) ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิตคงที่ (Stable) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนถึงการบริหารสถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง และความแข็งแกร่งของบริษัทในฐานะผู้นำตลาดค้าปลีกน้ำมันของประเทศ
หม่อมหลวงปีกทอง กล่าวเพิ่มเติมว่า OR จะมุ่งเน้นการขับเคลื่อนองค์กรอย่างรอบด้านด้วยการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน พร้อมทั้งหาโอกาสต่อยอดทางธุรกิจและขยายเครือข่ายลูกค้า โดยการผนวกผลิตภัณฑ์และการบริการทางการเงินของ Virtual Bank
อย่างไรก็ตาม OR มองว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (The International Energy Agency : IEA) เดือนเมษายน 2568 คาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันของโลกในปี 2568 อยู่ที่ 103.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ระดับ 0.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยการเติบโตอุปสงค์น้ำมันในปี 2568 ถูกปรับลดจากคาดการณ์ในรายงานเดือนก่อนหน้า ส่วนหนึ่งมาจากสหรัฐฯและจีน จากความตึงเครียดทางการค้าที่ส่งผลกดดันต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ซึ่ง แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในช่วง 2Q/68 มีแนวโน้มค่าเฉลี่ยปรับตัวลดลงมากกว่า 1Q/68 เนื่องจากความกังวลต่อมาตรการ การเพิ่มภาษีการนำเข้าของสหรัฐฯ รวมทั้งความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรงเพิ่มขึ้น โดยส่งผลต่อการเติบโตของอุปสงค์น้ำมัน อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้กลุ่ม OPEC+ มีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบในเดือนพฤษภาคม 2568 มากกว่าที่วางแผนไว้ ส่งผลต่อปริมาณอุปทานน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความกังวลด้านอุปทานน้ำมัน จากประเทศอิหร่าน จากการที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าหยุดการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน นอกจากนี้ทรัมป์มีแผนการเรียกเก็บภาษีการนำเข้า เพิ่มอีก 25.0% ถึง 50.0% จากผู้ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย หากรัสเซียขัดขวางข้อตกลงการยุติสงครามกับยูเครน ส่งผลให้เกิดความกังวลต่อ การส่งออกน้ำมันดิบของรัสเซีย โดยคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปี 2568 อยู่ที่ 50 - 70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทย มีความเสี่ยงโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 1.3 –2.0% ในปี 2568 โดยเศรษฐกิจไทยยังมีความท้าทาย และความไม่แน่นอนสูงจาก
1) การบังคับใช้นโยบายทางภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
2) ปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นของภาคการผลิต
3) หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงสถาบันการเงินเข้มงวดใน การปล่อยกู้มากขึ้น กระทบต่อความสามารถในการบริโภคของภาคเอกชนและครัวเรือน
ส่วนเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มชะลอตัวจากความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์ความขัดแย้ง ภูมิรัฐศาสตร์โลก
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุ กำไร 1Q25 เติบโตได้ทั้ง QoQ และ YoY คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 4,269 ล้านบาท เติบโต 65% QoQ และ 24% YoY ดีกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้าที่ระดับ 2,500-2,600 ล้านบาทมากตามอัตรากำไรขั้นต้นของการขายเชื้อเพลิงอากาศยานและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีกว่าที่เราประเมินไว้เดิม โดยกำไรปกติสามารถเติบโตได้โดดเด่น QoQ แม้คาดปริมาณขายน้ำมันรวมลดลงเป็น 6,700 ล้านลิตร (-5% QoQ, +3% YoY) ตามปัจจัยฤดูกาล เพราะได้แรงหนุนจากค่าการตลาดน้ำมันเฉลี่ยที่คาดเพิ่มขึ้นเป็น 0.97 บาท/ลิตร (+17% QoQ, -13% YoY) ตามอัตรากำไรขั้นต้นของการขายเชื้อเพลิงอากาศยาน(Jet Fuel) ที่สูงขึ้นและค่าใช้จ่าย SG&A ที่คาดลดลงเป็น 5,359 ล้านบาท (-15% QoQ, -11% YoY) ตามปัจจัยฤดูกาล
ขณะที่ YoY คาดกำไรปกติสามารถเติบโตได้แม้ค่าการตลาดน้ำมันลดลง YoY เพราะค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลง YoYหลังบริษัทฯ มีการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและต้นทุนทางการเงินที่คาดลดลงตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง. สามารถชดเชยผลกระทบได้
ปรับประมาณการปี 2025-26 ขึ้น
หากกำไรปกติ 1Q25 ออกมาใกล้เคียงคาด จะคิดเป็นสัดส่วน 43% ของประมาณการเดิม เราจึงปรับประมาณการกำไรปี 2025-26 ขึ้น11% เป็น 11,049 ล้านบาท (+30% YoY) และ 11,319 ล้านบาท (+2% YoY) จาก
1. การปรับสมมติฐานค่าการตลาดน้ำมันเฉลี่ยสำหรับปี 2025-26 เป็น 0.85 บาท/ลิตร (เดิม 0.95 บาท/ลิตร) เพื่อสะท้อนค่าการตลาดที่คาดจะยังทรงตัวอยู่ในกรอบ 0.80-1.00 บาท/ลิตร
2. การปรับสมมติฐานค่าใช้จ่าย SG&A สำหรับปี 2025-26 ลงเป็น 23,555 ล้านบาท (เดิม 28,968 ล้านบาท) และ 23,691 ล้านบาท (เดิม 29,191 ล้านบาท) เพื่อสะท้อนความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แนวโน้มกำไร 2Q-3Q25 มีโอกาสเติบโต YoY ต่อเนื่อง
เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 2Q25 ที่ระดับ 2,500-2,600 ล้านบาท ลดลง QoQ ตามสัดส่วนการขายเชื้อเพลิงอากาศยานที่ลดลงตามผลของฤดูกาลและการรับรู้ผลจากการบันทึกรายการ Stock loss (มีสาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงจากความกังวลเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจโลก) อย่างไรก็ตามคาดกำไรปกติจะยังสามารถเติบโตได้ YoYตามปริมาณขายน้ำมันรวมที่ฟื้นตัวตามส่วนแบ่งการตลาดและการขยายจำนวนสถานีบริการน้ำมัน รวมถึงค่าใช้จ่าย SG&A ที่มีแนวโน้มลดลง YoY และหากมองไปช่วง 3Q25 คาดกำไรปกติจะสามารถเติบโต YoY ได้ต่อเนื่องจากฐานที่ต่ำในปีก่อน
หุ้นกลับมามี Upside...ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ”
ผลจากการปรับประมาณการขึ้นและการปรับ PER ที่ใช้ประเมินมูลค่าขึ้นเป็น 17.0 เท่า (เดิม 16.6 เท่า) ตามการปรับไปใช้ SET ESG Rating ที่ระดับ AAA (พรีเมียม 4%) ส่งผลให้ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 15.70 บาท/หุ้น มี Upside 14.6%(หากรวมผลตอบแทนจากเงินปันผลหลังหักภาษีจะส่งผลให้ผลตอบแทนในระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ราว 18.0%) ทั้งนี้เรามองว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในปี 2025 ตามส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจสถานีบริการน้ำมันที่ฟื้นตัว คงคำแนะนำ “ซื้อ”
สำหรับราคาหุ้น OR วันที่ 8 พ.ค.2568 ปิดที่ 14.50 บาทต่อหุ้น ลดลง -1.36%