โบรกฯ มอง Moshi เป็น Positive สินค้าตอบโจทย์ภาวะเศรษฐกิจ
โบรกฯ มอง Moshi เป็น Positive สินค้าตอบโจทย์ภาวะเศรษฐกิจ ด้านผลประกอบการ Q1/68 ฝ่ากำลังดซื้อหาย-หนี้ครัวเรือน กำไรสุทธิ โต 24.4% ทุบสถิติใหม่
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง หุ้น Moshi หรือ บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมีมุมมอง มอง Positive ว่าสินค้าตอบโจทย์ภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งจากประชุมนักวิเคราะห์ ยังเป็นบริษัทในกลุ่มที่เห็นการเติบโตได้ชัด ปรับตัวไว สินค้าและราคาย่อมเยาตอบโจยท์โครงสร้างเศรษฐกิจ โดยระยะสั้น SSSG Qtd ยังสูง17-18% y-y (หากไม่รวมฐานต่าปีก่อนยังเติบโตระดับ 7-8% y-y เด่นต้นๆในกลุ่มฯ)

ขณะที่ยังเปิดสาขาเชิงรุกและสาขา Format ใหม่ Big standalone ยังทำได้ตามเป้า มองเป็นโอกาสต่อการขยายฐานลูกค้ากลุ่ม Mass และต่อการเปิดสาขาได้มากขึ้นบนความเสี่ยงที่จากัดขณะที่การแข่งขันจากคู่แข่งรายใหม่ยังอยู่ในระดับจำกัดโดยรวมแนะนำ Buy จาก TP65F 54.0 บาท อิง DCF
โดย มีสาขา Standalone เริ่มปี 2024 มี 5 แห่ง เน้นใกล้มหาลัย และมีผลตอบรับดี ปีนี้มีแผนเปิด Standalone 9 แห่ง และทดลองสาขาใหญ่ 4 แห่ง ระดับ 300 ตร.ม. จากปกติ 80-250 ตร.ม. เน้นติดแหล่งชุมชน โดยเปิด 2 สาขาแล้ว พบว่า 1สาขา ทำได้ตามเป้าหมายและอีกสาขามากกว่าเป้า (ยอดขายน้อยกว่าสาขารูปแบบ Hyper market แต่เงินลงทุนและค่าเช่าถูกกว่ามาก)
ทั้งนี้ การลงทุนปกติ Breakeven 1-4 เดือน และ Payback (คุ้มทุน) 2-3ปี เรามองบวกต่อรูปแบบสาขานี้ เป็น Strategic Move ที่น่าสนใจจากเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าไปกลุ่ม Mass มากขึ้น จากฐานลูกค้าปัจจุบันอายุ 18-35 ปี แต่เริ่มมีกลุ่มอายุเกิน 35 ปี เป็นลูกค้ามากขึ้น และโอกาสไปสาขาอำเภอรอง เพิ่มโอกาสในการเปิดสาขามากขึ้นในระยะยาว ไม่รวมเป้าปัจจุบันนับเฉพาะสาขาในห้าง บริษัทมองเปิดได้ถึง 350 สาขาในระยะยาว ทั้งนี้ หากเทียบดูกับ MR Diy ที่เน้นสินค้ากลุ่ม Home เป็นหลัก แต่ฐานลูกค้า Mass วงกว้าง พบว่ามีเกือบ 1 พันสาขา และเป็นรูปแบบ Standalone 500++ สาขา
การแข่งขัน : นอกจากผู้เล่นใหม่ KKV ที่เปิดแล้วราว 9 สาขา (สาขาแรกเปิด 31ต.ค.2024)ล่าสุดในอุตสาหกรรมยังมีผู้เล่นเดิมที่มีการปรับรูปแบบ คือ ร้าน Lemony คือร้าน Miniso เดิมที่หมดสัญญาแฟรนไชส์และเปลี่ยนชื่อร้านตั้งแต่ปลายปีก่อนปัจจุบันเปลี่ยนเป็น Lemony แล้ว 20 แห่ง (เดิม Miniso มีราว 60-70แห่ง) เน้นตกแต่งธีมเหลือง (คล้าย KKV) โดยมี MOSHI อยู่ห้างเดียวกัน ราว 17 แห่ง
และ 2) ร้านMiniso (คาดบริษัทแม่ในจีนเปิดเอง) ปัจจุบันที่ราว 4 แห่ง ต่างจาก MOSHI ทั้งกลุ่มลูกค้าและกลุ่มสินค้าโดย Miniso เน้นกลุ่มลูกค้าระดับบน (คล้าย Pop mart) และเน้นสินค้ากลุ่มลิขสิทธิ์มาก 80-90% ของทั้งหมดตามนโยบายบริษัทแม่ และจำหน่ายราคากรอบบน เทียบ MOSHI ที่สินค้ากลุ่มดังกล่าว คิดเป็น 15% ของทั้งหมดและเน้นราคาเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายกว่า โดย MOSHI มี 3สาขาอยู่ห้างเดียวกันกับ Minisoพบว่า SSSG ยังเป็นบวกใกล้ค่าเฉลี่ย
ยังมองบวกต่อความสามารถแข่งขันของ MOSHI ที่จุดเด่นราคาสินค้าเข้าถึงง่าย และการปรับตัวที่ไว รวมถึง มองการเข้ามาของคู่แข่งใหม่หรือรายเดิมที่ปรับตัว ในภาวะกำลังซื้อปัจจุบัน เป็นปัจจัยที่ท้าทายต่อความสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัย ผู้บริหารขาย Big lot 3.1ล้านหุ้น , ราคา 43.75 บาทเมื่อ 14 พ.ค. โดยผู้ซื้อคือ กองทุนต่างประเทศ ที่ติดตามบริษัทมานานและมีนโยบายถือลงทุนระยะยาว และสอดคล้องกับยอด Foreign ปีนี้ Ytd ซื้อหุ้น MOSHI 1.8 ล้านหุ้น
สำหรับ ผลประกอบการ นางสาวศุภรดา โรจน์วัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บมจ. โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ผลประกอบการ บมจ.โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือ MOSHI ไตรมาส 1/2568 ทำรายได้จากการขาย 838.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.3% และมีกำไรสุทธิ 156.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.4% ทุบสถิติใหม่ ฟาก SSSG เติบโต 7.9% คาดรายได้ปี 2568 เติบโต 15-20% ตามเป้าหมาย ชูความเป็นแบรนด์คนไทย 100%
จาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
- การออกสินค้าคอลเลกชันลิขสิทธิ์ใหม่ๆ
- สินค้าใหม่ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า
- ตกแต่งภายในร้านให้ดึงดูดกลุ่มลูกค้ามากขึ้น
ด้านยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ในไตรมาส 1/2568 มีอัตราเติบโต 7.9% และคาดว่าทั้งปี 2568 จะรักษา SSSG เฉลี่ยที่ 3-5% ประกอบกับในไตรมาสแรก บริษัทฯ ได้เปิดสาขาร้าน Moshi Moshi ใหม่ทั้งสิ้น 6 สาขา ซึ่งในจำนวนนี้มีสาขา Standalone Pilot ในรูปแบบ Big Size จำนวน 1 สาขาอีกด้วย
นายสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MOSHI กล่าวเพิ่มเติมว่า ธุรกิจค้าปลีกในปี 2568 เผชิญความท้าทายจากหนี้ครัวเรือนที่กดดันการใช้จ่าย ต้นทุนธุรกิจที่สูงขึ้นทั้งด้านพลังงาน ดอกเบี้ย และค่าแรง รวมถึงการแข่งขันในตลาดที่เริ่มท้าทายมากขึ้นจากผู้ประกอบการรายใหม่ ในขณะที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและศึกษาข้อมูลก่อนซื้อมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวคุณภาพจากยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลางที่สูงขึ้น