“สตาร์บัคส์” ประกาศเตรียมขายหุ้นส่วนใหญ่ในธุรกิจที่ประเทศจีน

เมื่อวันที่ 3 พ.ย. สตาร์บัคส์ (Starbucks) ประกาศว่า จะขายหุ้น 60% ในธุรกิจของตนในประเทศจีนให้กับบริษัทลงทุน Boyu Capital ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงมูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.3 แสนล้านบาท)

ภายใต้ข้อตกลงนี้ สตาร์บัคส์ซึ่งเป็นเครือร้านกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก จะถือหุ้น 40% ในธุรกิจค้าปลีกของ Boyu Capital และยังคงเป็นเจ้าของแบรนด์สตาร์บัคส์ในประเทศจีน

สตาร์บัคส์เข้าสู่ตลาดจีนในปี 1999 และปัจจุบันประเทศจีนเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาต้องเผชิญกับความยากลำบากจากการเติบโตของแบรนด์ท้องถิ่นอย่าง Luckin Coffee

บริษัทจะยังคงมีสำนักงานอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ และจะเป็นเจ้าของและบริหารร้านค้า 8,000 แห่งในตลาดจีน และมีแผนที่จะขยายสาขาให้มากถึง 20,000 แห่ง

สตาร์บัคส์ระบุว่า การร่วมมือกับ Boyu ถือเป็นก้าวสำคัญและส่งสัญญาณถึงแผนการเติบโตระยะยาวในประเทศจีน โดยตั้งมูลค่าธุรกิจค้าปลีกในประเทศจีนไว้ที่ 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.2 แสนล้านบาท)

บริษัทเสริมว่า “ความร่วมมือครั้งนี้ผสานรวมแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกของสตาร์บัคส์ ความเชี่ยวชาญด้านกาแฟ และวัฒนธรรมที่เน้นพันธมิตร เข้ากับความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของ Boyu ที่มีต่อผู้บริโภคชาวจีน”

สตาร์บัคส์กล่าวว่า มีแผนจะเปิดตัวเครื่องดื่มและแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ ๆ ในประเทศจีน และเสริมว่าข้อตกลงนี้จะเสร็จสิ้นในปีหน้า

Boyu Capital เป็นบริษัทไพรเวตอิควิตีที่ลงทุนในธุรกิจค้าปลีก บริการทางการเงิน และเทคโนโลยี บริษัทมีสำนักงานทั่วเอเชีย รวมถึงในเซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง และสิงคโปร์

อนาคตของสตาร์บัคส์ในประเทศจีนมีความไม่แน่นอนมาหลายเดือนแล้ว หลังจากที่ ลักษมัน นาราซิมฮัน อดีตประธานบริษัท กล่าวเมื่อปีที่แล้วว่า บริษัทกำลังสำรวจ “ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์” เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยอดขายของสตาร์บัคส์ในจีนลดลง เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลง และการแข่งขันที่รุนแรง

ปัจจุบัน Luckin Coffee มีสาขาในจีนมากกว่าสตาร์บัคส์และได้รับความนิยมจากลูกค้าด้วยราคาที่ถูกกว่าและส่วนลดบ่อยครั้ง

สตาร์บัคส์ได้พยายามลดราคาสินค้าในประเทศจีนเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งในประเทศ แต่สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อผลกำไร

 

เรียบเรียงจาก BBC