เก๋าแต่ไม่เก่า “Ray-Ban” ตำนานแว่นตากันแดด เกรดนักบินกองทัพสหรัฐฯ
แว่นกันแดด “Ray-Ban” ถูกพัฒนามาเพื่อนักบินกองทัพอากาศสหรัฐฯ แต่กลายมาเป็นหนึ่งในแบรนด์แว่นกันแดดที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลกได้อย่างไร?
หากพูดถึง “แว่นกันแดด” แล้ว แบรนด์ที่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเซเลบริตี ดารา หรือแม้แต่คนธรรมดาทั่วไป ต้องนึกถึง คงหนีไม่พ้น “Ray-Ban” (เรย์แบน) หนึ่งในแบรนด์แว่นกันแดดที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลก ซึ่งยังยืนหยัดอยู่ในตลาดอย่างแข็งแกร่งแม้จะผ่านมานานเกือบ 100 ปีแล้วก็ตาม
ไม่เพียงแต่ความคลาสสิกเท่านั้น เพราะเมื่อ ก.ย. 2023 Ray-ban ยังเปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะ “Ray-Ban Meta” ภายใต้ความร่วมมือกับยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี “เมตา” ของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก
นี่แสดงให้เห็นว่า Ray-Ban ยังคงพยายามรักษาไว้ทั้งความคลาสสิกของตัวเอง และเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้เข้ากับยุคสมัย ด้วยเทคโนโลยีระดับที่เคยได้รับการยอมรับจากกองทัพสหรัฐฯ มาแล้ว
พิกัด แว่นตากันแดด RayBan
นักมวยไม่ผ่านตรวจเพศ แม้ชนะในโอลิมปิก แต่คู่แข่งร้องไห้ปฎิเสธจับมือ
เช็กที่นี่ ลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท รู้ผลวันไหน
Apple UK ลบคลิปแล้ว! ปมโฆษณาดรามาประเทศไทย
แว่นตากันแดดที่ทัพฟ้าสหรัฐฯ เลือกใช้
จุดกำเนิดของแว่นตา Ray-Ban ต้องย้อนไปตั้งแต่ก่อนปี 1930 หรือเกือบ 100 ปีก่อน เป็นช่วงที่เทคโนโลยีการบินเชิงทหารกำลังได้รับการพัฒนาอย่างเฟื่องฟู มีความพยายามทะยานฟ้าไต่ความสูงทำลายสถิติขึ้นไปเรื่อย ๆ
แต่ความสูงที่เพิ่มมากขึ้นทำให้กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้รับรายงานจากนักบินเกี่ยวกับสายตาที่ถูกรบกวนและอาการปวดหัวจากแสงจ้าโทนสีฟ้าและขาวที่เข้มข้น
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ในปี 1929 พลโท จอห์น แม็กเรดี แห่งกองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้ร่วมมือกับ Bausch & Lomb (บอชแอนด์ลอมบ์) บริษัทผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพดวงตาสัญชาติอเมริกัน-แคนาดา ในการออกแบบแว่นกันแดดรุ่นใหม่ ที่จะสามารถป้องกันแสงจ้าได้ รวมถึงแม็กเรดียังกังวลว่า แว่นตาของนักบินจะเกิดฝ้า ซึ่งจะทำให้ทัศนวิสัยในการบินลดลงอย่างมาก
Bausch & Lomb เป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์คอนแทกต์เลนส์ ผลิตภัณฑ์ดูแลเลนส์ ยา เลนส์แว่นตา และผลิตภัณฑ์ศัลยกรรมดวงตาอื่น ๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขึ้นชื่อเรื่องเทคโนโลยีที่ใช้รักษาและถนอมสายตาได้
หลังจากใช้เวลาพัฒนานานกว่า 7 ปี ในที่สุดแม็กเรดีและบริษัท Bausch & Lomb พัฒนาตัวต้นแบบขึ้นมาได้สำเร็จในปี 1936 ใช้ชื่อว่า “Anti-Glare” (แอนติแกลร์) ออกแบบด้วยเลนส์สีเขียวที่ได้รับการทดสอบแล้วว่า ป้องแสงจ้าได้โดยไม่บดบังทัศนวิสัยของนักบิน
ต่อมามีการเปลี่ยนชื่อแว่นตาใหม่นี้เป็น “Ray-Ban” เพราะสามารถ ”ขจัด (Ban) แสงจ้า (Ray)” ได้นั่นเอง ถือเป็นการกำเนิดของแบรนด์นี้อย่างเป็นทางการ
เพียง 1 ปี Ray-Ban ประสบความสำเร็จอย่างมากในกลุ่มนักบิน นั่นทำให้บริษัทตัดสินใจขยายตลาดไปสู่ประชาชนทั่วไปที่ “อยากหล่อเท่เหมือนนักบิน” และขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแม้จะมีราคาหลายดอลลาร์ ซึ่งถือว่าแพงมากในยุคนั้นที่แว่นกันแดดทั่วไปมีราคาเพียง 0.25 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น รวมถึงยังเจาะตลาดกลุ่มชาวประมงและนักกอล์ฟซึ่งต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งด้วย
เลนส์ที่ทนต่อแรงกระแทกยังถูกเพิ่มเข้ามาและออกแบบใหม่เปลี่ยนจากกรอบพลาสติกเป็นกรอบโลหะและจดสิทธิบัตรในชื่อ “Ray-Ban Aviator” (เรย์แบนเอวิเอเตอร์) ในปี 1939
เทคโนโลยีการปกป้องดวงตาของ Ray-Ban Aviator ส่วนใหญ่มาจากเลนส์ “G15” หรือเลนส์รูปทรงหยดน้ำและเลนส์นูนที่ช่วยให้ครอบคลุมดวงตาและป้องกันแสงไม่ให้กระทบดวงตาของนักบินได้จากทุกมุม
เลนส์ G15 ถือเป็นเลนส์ที่ป้องกันแสงสะท้อนได้มากกว่าเลนส์โพลาไรซ์ เนื่องจากเลนส์โพลาไรซ์จะปิดกั้นแสงสะท้อนทั้งหมด ซึ่งไม่ปลอดภัยสำหรับการบิน เนื่องจากจะไม่สามารถมองเห็นแสงจากเครื่องบินลำอื่นบนท้องฟ้าได้
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แว่นกันแดด Ray-Ban กลายเป็นอุปกรณ์พื้นฐานของทหารในกองทัพสหรัฐฯ และกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเมื่อนักข่าวถ่ายภาพ นายพลดักลาส แม็กอาเธอร์ เสนาธิการกองทัพสหรัฐฯ และจอมพลกองทัพฟิลิปปินส์ ใส่แว่น Ray-Ban ขึ้นชายฝั่งฟิลิปปินส์ในปี 1944
เติบโตในฐานะแฟชั่นและป็อปคัลเจอร์ระดับโลก
ไม่นานหลังมีการเปิดตัว Aviator ได้มีการพัฒนาแว่นกันแดด “Ray-Ban Wayfarer” (เรย์แบนเวย์แฟเรอร์) เปิดตัวครั้งแรกในปี 1952 เป็นแว่นกันแดดรุ่นแรก ๆ ที่ใช้กรอบพลาสติกหนา เนื่องจากแว่นกันแดดส่วนใหญ่ในตลาดทำจากโลหะ
Wayfarer คืออีกหนึ่งรุ่นที่เป็นตำนาน เพราะหลังจากที่เปิดตัวบนจอเงินในภาพยนตร์เรื่อง Rebel Without a Cause ในปี 1955 ซึ่ง เจมส์ ดีน สวมใส่ Wayfarer ก็กลายเป็นชื่อคุ้นหูอย่างรวดเร็วและกลายเป็นปรากฏการณ์ที่เข้ามาครองตลาดฮอลลีวูดและตลาดแว่นตา
อย่างไรก็ตาม ความนิยมของ Wayfarer นั้นไม่ได้เป็นไปตามแบบแผนเหมือนกับ Aviator ในยุค 70 ซึ่งผู้คนหันมานิยมแว่นกันแดดกรอบโลหะอีกครั้ง โดยเฉพาะรูปทรงที่กว้างและโค้งมนกว่า ซึ่งทำให้ความนิยมของ Wayfarer ลดลง
ทั้งนี้ ต่อมา Ray-Ban Wayfarer ได้ไปปรากฏตัวในภาพยนตร์ Blues Brothers ในปี 1984 และบริษัทตัดสินใจเซ็นสัญญากับ Unique Product Placement เพื่อรับประกันว่า แว่นกันแดดรุ่นนี้จะปรากฏอยู่ในซีรีส์และภาพยนตร์ทางโทรทัศน์อย่างน้อย 60 เรื่องต่อปี ซึ่งทำให้ Wayfarer กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในช่วงต้นทศวรรษ 1980
ณ ปัจจุบัน Wayfarer ยังคงเป็นแว่นกันแดดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดรุ่นหนึ่งของ Ray-Ban และยังเป็นต้นแบบของแว่นกันแดดรูปทรงใหม่ ๆ มากมายในตลาดอีกด้วย
ความนิยมของแบรนด์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องมาจากความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ จากฮอลลีวูด ซึ่งแว่น Ray-Ban ไปปรากฏในภาพยนตร์ชื่อดังในยุคนั้น เช่น Breakfast at Tiffany's และ Rebel Without a Cause รวมถึงซูเปอร์สตาร์ตลอดกาล ทอม ครูซ ที่สวม Wayfarer ในภาพยนตร์ Top Gun ขณะที่ศิลปินในยุคนั้นอย่าง เอลวิส เพรสลีย์, กลอเรีย สไตเนม หรือยูนาบอมเบอร์ เคยใส่แว่นของ Ray-Ban จนคนแห่ไปซื้อตามเช่นกัน
นั่นทำให้ Ray-Ban กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของฮอลลีวูด วัฒนธรรมป็อป และสะท้อนถึงจิตวิญญาณอเมริกัน และยังคงมีบทบาทสำคัญในการยกระดับความเท่ที่ยากจะเข้าใจของตัวละครที่มีชื่อเสียง หลังจากที่เสื่อมความนิยมลงในช่วงสั้นๆ ในช่วงทศวรรษ 1970 Ray-Ban ก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในช่วงทศวรรษ 1980
แว่น Wayfarer ยังปรากฏในภาพยนตร์ยุคหลังปี 2000 เช่น The Wolf of Wall Street และมักพบเห็นคนดังในยุคนี้เช่น เทย์เลอร์ สวิฟต์ และคานเย เวสต์ สวมใส่แว่น Ray-Ban อยู่
ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของ Ray-Ban จะพบว่า ความสำเร็จของแว่นกันแดดสุดเท่นี้ มีส่วนประกอบสำคัญคืออิทธิพลที่โดดเด่นในวงการแฟชั่นและวัฒนธรรมป็อป และคาดว่าจะยังคงอยู่ต่อไป
สู่ดินแดนมักกะโรนี
จุดเปลี่ยนสำคัญของ Ray-Ban เกิดขึ้นในปี 1999 เมื่อ “ลีโอนาร์โด เดล เวคคิโอ” เจ้าของบริษัท “ลุกซอตติกา (Luxottica)” ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์แว่นตาหลายสิบแบรนด์ทั่วโลก ได้เข้าซื้อแบรนด์ Ray-Ban ด้วยราคา 640 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอิตาลีแทน
หลังซื้อกิจการมา ลุกซอตติกาผลิตแว่นกันแดด Ray-Ban ด้วยมือในอิตาลี และยังคงมีคุณภาพดีเยี่ยมเนื่องจากใช้วัสดุคุณภาพระดับพรีเมียมในการประดิษฐ์
ในปี 2007 ลุกซอตติกาได้เปิดตัว Ray-Ban Youth ซึ่งเป็นคอลเล็กชันแว่นสายตาสำหรับเด็กอายุ 8-12 ปี โดยเลียนแบบสไตล์ Ray-Ban สำหรับผู้ใหญ่ยอดนิยม ใช้กรอบแว่นเป็นไททาเนียม และ 2 ปีต่อมาเปิดตัวคอลเล็กชัน Ray-Ban Tech ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีความทนทานและน้ำหนักเบา และมีเลนส์โพลาไรซ์ที่ทำจากโพลีคาร์บอเนตหรือคริสตัล
ต่อมาในปี 2018 เดล เวคคิโอ ได้ควบรวมกิจการกับ “เอสซิลอร์ (Essilor)” ยักษ์ใหญ่ด้านเลนส์ของฝรั่งเศส กลายเป็นบริษัท “เอสซิลอร์ลุกซอตติกา (EssilorLuxottica)” ซึ่งปัจจุบันเป็นทั้งผู้ค้าปลีกแว่นตาชั้นนำของโลกและหนึ่งในผู้ผลิตเลนส์แก้ไขภาพรายใหญ่ที่สุดของโลก
มีรายงานว่า เอสซิลอร์ลุกซอตติกาครองส่วนแบ่งในตลาดแว่นตาถึงกว่า 80% ทั่วโลก เพราะเป็นเจ้าของธุรกิจแว่นตากว่า 20 แบรนด์ อาทิ Ray-Ban, Oakley, Persol, Vogue Eyewear, Prada Eyewear, Giorgio Armani และอื่น ๆ
ยังคงเติบโตในโลกยุคดิจิทัล
อย่างที่บอกไปในตอนน้นว่า Ray-Ban ยังคงไว้ทั้งความคงลาสสิก และเดินหน้าปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย โดยในปี 2021 Ray-Ban ได้เปิดตัวแว่นอัจฉริยะ “Ray-Ban Stories” ซึ่งพัฒนาขึ้นร่วมกับ Facebook Reality Labs โดยแว่นรุ่นนี้มีกล้องในตัวและหูฟังบลูทูธ
เอสซิลอร์ลุกซอตติการะบุว่า การมุ่งเน้นด้านนวัตกรรมยังคงเป็นหัวใจสำคัญของเอกลักษณ์และกลยุทธ์ของบริษัท ซึ่งเห็นได้จากความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ประเภทใหม่ 2 ประเภทที่ EssilorLuxottica กำลังพัฒนาอยู่ ได้แก่ เลนส์จัดการสายตาสั้น (โดยเฉพาะ Stellest) และแว่นตาอัจฉริยะ (Ray-Ban Meta เปิดตัวในเดือนกันยายน 2023)
ด้วยความสำเร็จเหล่านี้ เอสซิลอร์ลุกซอตติการายงานรายได้ปีงบประมาณ 2023 เพิ่มขึ้น 3.7% เป็น 2.54 หมื่นล้านยูโร (9.77 แสนล้านบาท) กำไรขั้นต้นประจำปีเพิ่มขึ้น 3.1% เป็น 1.61 หมื่นล้านยูโร (6.19 แสนล้านบาท)
ภูมิภาคที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทเติบโตมากที่สุดคือ ละตินอเมริกา โตขึ้น 9% ตามด้วยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมี ซึ่งรายได้เพิ่มขึ้น 6.8% โดยเฉพาะตลาดจีน ซึ่งกำลังซื้อกลับมาฟื้นตัวอย่างมากตั้งแต่เดือน ก.พ. อันเป็นผลจากการปลดมาตรการล็อกดาวน์โควิด-19
ส่วนภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) มีรายได้เพิ่มขึ้น 5% โดยแบรนด์แว่นหรูทำผลงานได้ดีที่สุดในภูมิภาคนี้ ขณะที่ภูมิภาคอเมริกาเหนือมียอดขายเพิ่มขึ้นเพียง 1.3% เท่านั้น จากความต้องการที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
ทั้งนี้ ในรายงานประจำปีของเอสซิลอร์ลุกซอตติการะบุว่า ทำผลงานได้ดีมากและเติบโตในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ละตินอเมริกา และเอเชียแปซิฟิก โดยเป็นผู้สร้างรายได้หลักในภูมิภาคเหล่านี้ และ ณ สิ้นปี 2023 มีร้านค้าของ Ray-Ban อยู่ทั้งหมด 265 สาขาทั่วโลก
ด้วยมรดกอันล้ำค่าที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ Ray-Ban ได้สร้างเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ และมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อทั้งเทคโนโลยี แฟชั่น และไลฟ์สไตล์ อย่างไม่อาจปฏิเสธได้
Ray-Ban เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเลนส์และแว่นตาในขณะที่ยังคงความทันสมัยที่ไม่มีใครเทียบได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า Ray-Ban จะยังคงทรงอิทธิพลและเป็นผู้กำหนดทิศทางเทรนด์โลกในอุตสาหกรรมแว่นตาต่อไป
เรียบเรียงจาก (1) (2) (3) (4) (5) (6)
ผ้าคลุมรถกันความร้อน และ 4 ไอเทมที่ช่วยทำให้รถดูสวยใหม่ตลอดเวลา