ttb ห่วงส่งออกไทย “แข่งยาก” หากไม่พัฒนา 70% ถูกดิสรัป
ttb analytics มองส่งออกไทยในระยะยาวแข่งยากหากไม่พัฒนา ประเมินเกือบ 70% ของผู้ประกอบการไทยกำลังถูกดิสรัปจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics มองการแข่งขันภาคส่งออกไทยในตลาดโลกระยะข้างหน้ามีความท้าทายมากขึ้น ทั้งสินค้าส่งออกหลักที่มีคู่แข่งมากขึ้น และกฎระเบียบการค้าโลกที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออก-นำเข้าจากจีนสูง รวมถึงอุตสาหกรรมนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นในช่วงหลัง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน คิดเป็นเกือบ 70% ของผู้ประกอบการไทยทั้งหมด จึงควรเร่งปรับกลยุทธ์การค้าและเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้สอดคล้องกับบริบทการค้าโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ชี้ความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทยลดต่ำลงในทุกมิติ
ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาภาคส่งออกสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือส่วนแบ่งตลาดของสินค้าส่งออกไทยในตลาดโลกแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลยตลอดระยะเวลา 3 ทศวรรษ สะท้อนจากสัดส่วนส่งออกไทยเทียบตลาดโลกประมาณ 1% ในปี 2536 เพิ่มขึ้นเป็น 1.2% ในปี 2566 ขณะที่บทบาทของสินค้าส่งออกสำคัญของไทยถือเป็น “Product Champion” มาตลอดหลายสิบปีกลับลดลงต่อเนื่อง และมีแนวโน้มแข่งขันได้ยากขึ้น
“ติ๊ก ชิโร่” ขับรถตู้ชน จยย.ดับ 1 สาหัส 1 ยืนรอมอบตัว ก้มกราบเท้าขอโทษ
สคบ. จ่อเรียก 3 ดาราดัง บอส The iCon Group ให้ข้อมูลสัปดาห์หน้า
รวมข้อมูลพร้อมพิกัดบูธ “สัปดาห์งานหนังสือแห่งชาติ 2567” ครั้งที่ 29
ประเด็นแรก
สินค้าส่งออกที่มีมูลค่าเพิ่มน้อยไม่สามารถขยายไปตลาดใหม่ ๆ ได้ แม้สินค้าเกษตรและอาหารแปรรูปจะครองส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น แต่กระจุกตัวเพียง 2-3 ตลาด ซึ่งมีส่วนแบ่งรวมกันสูงถึง 30-90% ของมูลค่าส่งออกในสินค้ากลุ่มนี้ โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ และจีน สอดคล้องกับการเกินดุลการค้าของไทยกับทั้งสองตลาดในหลายกลุ่มสินค้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง ผลไม้ เนื้อสัตว์แปรรูป ข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง สินค้าเหล่านี้มีมูลค่าเพิ่มต่ำ มีความผันผวนทั้งในด้านราคาและปริมาณผลผลิต ขณะที่ประเทศคู่แข่งก็เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดของไทยมากขึ้นผ่านการเร่งพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตร อาทิ ข้าว ผักและผลไม้ เป็นต้น
ประเด็นที่สอง
สินค้าส่งออกที่มีมูลค่าเพิ่มสูงกว่ากลับแข่งยากและเสี่ยงถูกทดแทนได้ง่าย เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่แม้ไทยจะส่งออกไปหลายตลาดมากขึ้นแต่ส่วนแบ่งของไทยในตลาดโลกกลับมีแนวโน้มลดลงตามมูลค่าเพิ่มของสินค้าที่ไม่สูงนัก จากความซับซ้อนของเทคโนโลยีการผลิตต่ำ อาทิ ส่วนแบ่งตลาดส่งออกตู้เย็นของไทยจากที่เคยอยู่ที่ 4.7% ในปี 2556 ปัจจุบันเหลือ 3.3% เช่นเดียวกับแผงวงจรรวมและแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ที่กำลังเผชิญสถานการณ์เดียวกัน อีกทั้งคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามและมาเลเซียก็มีข้อได้เปรียบจากการเป็นฐานการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงมือถือและอุปกรณ์สื่อสารที่สำคัญของบริษัทผู้ผลิตระดับโลก
ห่วงผู้ประกอบการไทยเกือบ 70% พึ่งพาตลาดต่างประเทศสูง เสี่ยงเจอดิสรัปชันด้านการค้ารุนแรง
ที่ผ่านมาภาคส่งออกไทยอาจได้อานิสงส์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจากการส่งออกไปสหรัฐฯ มากขึ้น แต่ไม่เพียงพอที่จะฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากนัก จากตัวเลขส่งออกไทยไปตลาดสหรัฐฯ โตเฉลี่ย 11.2% ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา แต่เมื่อเทียบกับส่งออกไปตลาดอื่น ๆ โตได้เพียง 2.1% ทำให้ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึงเกือบเท่าตัว จาก 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2558-2560 เป็น 8.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564-2566
แต่ไทยกลับไม่สามารถชดเชยการขาดดุลการค้ากับจีนที่มากขึ้นได้เท่าใดนัก เนื่องจากสินค้าไทยที่ส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ได้มากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนเส้นทางการส่งออกของผู้ผลิตจีนเพื่อใช้ไทยเป็นทางผ่านส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งอาจไม่ได้ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยมากนัก สะท้อนจากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ยังคงหดตัวต่อเนื่องถึง 7 ไตรมาสนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2565 ขณะเดียวกันไทยต้องเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดและมาตรการตอบโต้การอุดหนุนจากสหรัฐฯ เพิ่มเติม เช่น แผงโซลาร์ เหล็กและอะลูมิเนียม ยางล้อ เป็นต้น
ไทยค่อนข้างเสียเปรียบการแข่งขันด้านราคาอยู่แล้ว จากผลการทำข้อตกลงทางการค้ากับคู่ค้าหลักของประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้อัตราภาษีศุลกากรไทยทุกประเภทสินค้าเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักสูงถึง 3.49%-7.12% เมื่อเทียบกับเวียดนาม 2.74-5.85% และมาเลเซีย 1.89-4.67% ยิ่งกว่านั้นมาตรการด้านการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบันเข้มข้นขึ้นถึงเกือบ 6 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อผู้ประกอบการไทยในการเข้าไปทำตลาดอยู่ไม่น้อย
วิเคราะห์ความเสี่ยงของผู้ประกอบการในแต่ละอุตสาหกรรม ตามระดับการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ โดยพิจารณาจากสัดส่วนการส่งออกรวมและสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจากจีนเทียบยอดขายรวม แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มดังนี้
กลุ่มที่ 1 พึ่งพาส่งออกสูงและนำเข้าจากจีนสูง
คิดเป็น 16% ของผู้ประกอบการไทยทั้งหมด เป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางสูง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้รับจ้างผลิตสินค้า ซึ่งจะมีการนำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้าขั้นกลางมาจากหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงจีนเพื่อเข้าสู่กระบวนการผลิต/ประกอบ หรืออาจใช้ไทยเป็นทางผ่านเพื่อส่งออกไปยังประเทศที่สามต่อไป
กลุ่มที่ 2 พึ่งพาส่งออกต่ำ แต่นำเข้าจากจีนสูง
คิดเป็น 12% ของผู้ประกอบการไทยทั้งหมด เป็นกลุ่มที่เปราะบางสูงเช่นกัน เนื่องจากเป็นการนำเข้าสินค้าจากจีนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมภายในประเทศเป็นหลัก ทำให้ผู้ผลิตจีนบางส่วนหันมาลงทุนทำธุรกิจในไทยและนำเข้าสินค้าจากจีนมาขายเองโดยตรง จึงกระทบผู้ผลิตและผู้ค้าในประเทศตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ
กลุ่มที่ 3 พึ่งพาส่งออกและนำเข้าจากจีนปานกลาง
คิดเป็น 40% ของผู้ประกอบการไทยทั้งหมด เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากทั้งรูปแบบการค้าและการแข่งขันจากสินค้านำเข้าจากจีนที่รุนแรงขึ้นในระยะต่อไป
กลุ่มที่ 4 พึ่งพาส่งออกและนำเข้าจากจีนต่ำ
คิดเป็น 32% ของผู้ประกอบการไทยทั้งหมด เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัด เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศเพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร ท่องเที่ยวและการแพทย์ เป็นต้น