ส่องต่างประเทศ กับการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราเท่าไหร่?
ส่องต่างประเทศ กับการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราเท่าไหร่? โดยเป็นหนึ่งในภาษีการบริโภคที่ถือเป็นช่องทางสำคัญในการหารายได้ของรัฐบาลทั่วโลก
ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตามอง เรื่องของภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT หลังจากที่รัฐบาลออกมายอมรับว่ากำลังศึกษาแนวทางของต่างประเทศเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับประเทศไทยที่ปัจจุบันการเก็บภาษี VAT ล่าสุด ยังอยู่ที่ 7% ซึ่งอัตรานี้ได้ถูกขยายออกไปจนถึงเดือนกันยายนปี 2568 โดยมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา PPTV Wealth นำข้อมูลจาก นายพิทวัส พูนผลกุล สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งกล่าวถึงประเทศต่างๆ ว่ามีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราเท่าไหร่?
โดยต้องทำความเข้าใจตรงนี้ก่อนว่า การจัดเก็บภาษีบนการบริโภค หรือ consumption tax ประกอบด้วยภาษี 3 ประเภทหลัก ๆ คือ
- ภาษีการขาย (sales tax)
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (value-added tax: VAT)
- ภาษีสรรพสามิต (excise tax)
ซึ่งภาษีการบริโภคนี้ถือเป็นช่องทางสำคัญในการหารายได้ของรัฐบาลทั่วโลก โดยสร้างรายได้เฉลี่ยประมาณ 1 ใน 3 ของรายได้รัฐรวมในกลุ่มประเทศ OECD
อาหารกินบ่อยเสี่ยง “ไขมันพอกตับ” ปัจจัยก่อมะเร็งตับถึงไม่ดื่มแอลกอฮอล์
และสาเหตุที่ภาษีการบริโภคเป็นภาษีที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ส่วนหนึ่งอาจมาจากคุณสมบัติที่พึงประสงค์ของภาษีดังกล่าว คือ
- รัฐสามารถจัดเก็บได้ง่าย ไม่ซับซ้อน ทำให้รัฐมีต้นทุนในการจัดเก็บภาษีที่ไม่สูง
- มีฐานภาษีที่กว้าง จึงเป็นช่องทางสำคัญที่ช่วยสร้างรายรับที่เพียงพอให้กับรัฐ
- ไม่กระทบต่อพฤติกรรมมากนัก ต่างจากการเก็บภาษีแบบอื่น เช่น ภาษีรายได้ที่มักกระทบแรงจูงใจในการทำงานหรือภาษีที่คิดจากกำไรจากการขายทรัพย์สินมักกระทบแรงจูงใจลงทุน
- เป็นแหล่งรายได้รัฐที่มีความผันผวนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับรายได้จากภาษีลักษณะอื่น
อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่งเห็นว่าภาษีการบริโภคหากเป็นภาษีแบบอัตราคงที่ (flat rate) ก็จะมีข้อเสียเพราะผู้มีรายได้น้อยจะจ่ายภาษีคิดเป็นสัดส่วนของรายได้มากกว่าผู้มีรายได้มาก (regressive) ซึ่งก็เป็นเพราะคนรายได้น้อยมักใช้จ่ายมากและออมน้อยเมื่อคิดเป็นสัดส่วนของรายได้นั้นเอง ลักษณะภาษีที่ regressive นี้จึงไม่ดีต่อการกระจายรายได้นัก ส่งผลให้อาจเกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการออกแบบควบคู่กับการเก็บภาษีผ่านช่องทางอื่นด้วย
เมื่อมาเจาะที่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นรายได้จากภาษีการบริโภคส่วนใหญ่มาจากภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ value-added tax (VAT) เป็นภาษีที่เก็บบนมูลค่าเพิ่มของสินค้า/บริการในแต่ละขั้นของห่วงโซ่อุปทาน ลองพิจารณาตัวอย่างห่วงโซ่อุปทานแบบง่าย ๆ ที่ในห่วงโซ่ประกอบด้วย ผู้ผลิต → ผู้ค้าส่ง → ผู้ค้าปลีก → ผู้บริโภค ในห่วงโซ่ลักษณะนี้ ผู้เล่นแต่ละคนจะต้องนำส่ง VAT ดังต่อไปนี้
ซึ่งจากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า
- มูลค่า VAT สุดท้ายที่ผู้บริโภคจ่ายจะสะท้อนมูลค่าเพิ่มที่เป็นผลรวมในแต่ละขั้นในห่วงโซ่อุปทานของสินค้า
- การนำส่ง VAT ของผู้เล่นในห่วงโซ่แต่ละขั้นจะเท่ากับภาษีขาย (มูลค่า VAT ที่เก็บจากผู้เล่นลำดับถัดไปในห่วงโซ่) หักด้วยภาษีซื้อ (มูลค่า VAT ที่จ่ายให้กับผู้เล่นลำดับก่อนหน้าในห่วงโซ่) ซึ่งก็สะท้อนภาษีที่เก็บบนมูลค่าเพิ่มที่ผู้เล่นในลำดับนั้น ๆ สร้างขึ้น ซึ่งการคิดภาษีในลักษณะนี้ก็เพื่อเลี่ยงการเก็บภาษีแบบซ้ำซ้อนหรือที่เรียกกันว่า tax pyramiding
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ประเทศที่เก็บในอัตรามากที่สุดได้แก่
ประเทศฮังการีอัตราภาษี 27% น้อยที่สุดคือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อัตราภาษี 5%
ส่วนในอาเซียน - เอเชีย หลักๆ เป็นดังนี้
ที่มาข้อมูล : ประเทศต่าง ๆ เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราเท่าไหร่? สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
BTC
ETH
DOGE
ADA
BNB
KUB