รู้จัก “ภาษีการรับให้” ที่ “วิโรจน์” พูดถึงในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568
การให้ทรัพย์สินแก่ลูกหลานหรือบุคคลอื่นอาจไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด! รู้จัก “ภาษีการรับให้” ใครต้องเสีย? คิดอย่างไร? และมีเงื่อนไขอะไรบ้าง?
จากกรณีที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิสร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายไม่ไว้วางในนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร โดยมุ่งเป้าตั้งคำถามการหนีภาษีของนายกฯ
“นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้หุ้นมาจากกงสี พี่สาว พี่ชาย พี่สะใภ้และแม่ มูลค่าสูง 4,434.5 ล้านบาท แล้วสร้างธุรกรรมการซื้อปลอม ติ่งต่างทำเป็นซื้อ เพื่อเปลี่ยนจากการได้หุ้นมาเป็นการซื้อ เพื่อหลีกเลี่ยง ‘ภาษีการรับให้’” นายวิโรจน์กล่าว

โดยนายวิโรจน์อ้างว่า เมื่อคำนวนการหนีภาษีของแพทองธารได้หุ้นจากกงสี ต้องเสียภาษีการรับให้ 218.7 ล้านบาท นหากนำมาอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จนถึง 6 ขวบ จะดูแลได้ถึง 5,000 คน เป็นค่าอาหารกลางวันเด็ก 30,000 คนต่อปีการศึกษา เบี้ยผู้สูงอายุตลอดทั้งปี มากกว่า 3.5 แสนคน
ทำให้เกิดความสงสัยว่า “ภาษีการรับให้” ที่นายวิโรจน์เอ่ยถึง คืออะไร?
รู้จักภาษีการรับให้
ภาษีการรับให้ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ภาษีการให้” (Gift Tax) เป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่เรียกเก็บเมื่อเจ้าของทรัพย์สินมอบเงินหรือทรัพย์สินให้ผู้อื่นขณะยังมีชีวิต จุดประสงค์หลักคือเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีมรดก โดยบุคคลที่ต้องเสียภาษีนี้ ได้แก่
- บุคคลธรรมดาที่ได้รับเงินจากการอุปการะหรือจากการให้โดยเสน่หาจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส
- บุคคลธรรมดาที่ได้รับเงินจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือได้รับโดยเสน่หาในโอกาสพิเศษตามขนบธรรมเนียม จากบุคคลอื่นที่มิใช่บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส
- บิดามารดาที่โอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ให้บุตรชอบด้วยกฎหมาย (ไม่รวมบุตรบุญธรรม)
ภาษีการรับให้ถูกจัดเก็บในรูปแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยคิดเฉพาะมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับซึ่งเกิน 10 ล้านบาทหรือ 20 ล้านบาท ตามที่กฎหมายกำหนด แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ และ สังหาริมทรัพย์
นิยามของ “บุพการี” และ “ผู้สืบสันดาน”
- บุพการี ได้แก่ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย และทวด
- ผู้สืบสันดาน ได้แก่ บุตร (รวมบุตรบุญธรรมและบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรอง) หลาน และเหลน
เริ่มบังคับใช้เมื่อใด?
ภาษีการรับให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 40) พ.ศ. 2558 และ (ฉบับที่ 43) พ.ศ. 2559
ใครต้องเสียภาษีการรับให้บ้าง ?
- กรณีการให้อสังหาริมทรัพย์ : ผู้โอนกรรมสิทธิ์ เช่น บิดามารดาที่โอนให้บุตร (ยกเว้นบุตรบุญธรรม)
- กรณีการให้สังหาริมทรัพย์ : ผู้รับเป็นผู้เสียภาษี โดยพิจารณาตามประเภทของเงินได้ โดยหากได้รับจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส ต้องเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี และหากได้รับจากบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บุพการี ต้องเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เกิน 10 ล้านบาทต่อปี
อัตราภาษีการรับให้
- กรณีการให้อสังหาริมทรัพย์ : ผู้โอนกรรมสิทธิ์เสียภาษี 5% ของมูลค่าทรัพย์สินที่เกิน 20 ล้านบาท
- กรณีการให้สังหาริมทรัพย์ : ผู้รับเสียภาษี 5% ของมูลค่าทรัพย์สินที่เกิน 10 หรือ 20 ล้านบาท ตามกรณี
ตัวอย่างการคำนวณภาษี
- ทั้งกรณีการให้อสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ ต้องเสียภาษีอัตราร้อยละ 5 ของส่วนเกินกว่า 10 ล้าน หรือ 20 ล้านบาท โดยเอาส่วนที่เกิน x อัตราภาษีร้อยละ 5 = ภาษีที่ต้องเสีย เช่น บิดามอบที่ดินให้บุตร มูลค่า 22 ล้านบาท ต้องเสียภาษี 100,000 บาท (2 ล้านบาท × 5%) , ป้ามอบเงินและทองให้หลานในงานแต่งงาน มูลค่ารวม 11 ล้านบาท ต้องเสียภาษี 50,000 บาท (1 ล้านบาท × 5%)
การยื่นภาษีการรับให้
- ผู้เสียภาษีสามารถเลือกเสียภาษี 5% แยกต่างหาก หรือรวมคำนวณกับเงินได้อื่น
- กรณียื่นแบบกระดาษ ต้องระบุรายการเงินได้จากการให้หรือการรับ
- กรณียื่นแบบออนไลน์ ต้องระบุเงินได้พึงประเมินภาษีหัก ณ ที่จ่าย และทำเครื่องหมายหน้าข้อความ o ต้องการเสียภาษีโดยไม่รวม
- ยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 สำหรับเงินได้ช่วง ม.ค.–มิ.ย. ภายในเดือน ก.ย. ของปีภาษี
- ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 สำหรับเงินได้ทั้งปี ภายในเดือน ม.ค.–มี.ค. ของปีถัดไป