[รีวิว] Honda City e:HEV รุ่น SV ทางเลือกความคุ้มตัวเริ่มเครื่องไฮบริด

ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ (New Honda City) เปิดตัวรุ่นปรับโฉมใหม่ เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา กับการใส่เทคโนโลยีความปลอดภัย ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ติดตั้งมาในทุกรุ่นย่อย ซึ่งนอกเหนือการปรับโฉมหน้าตานิดหน่อยให้ดูมีความสดใหม่ขึ้นแล้วนั้น สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือการเพิ่มรุ่น SV เข้ามาให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในรุ่นเครื่องยนต์ e:HEV ที่เดิมทีมีแค่เฉพาะในรุ่น RS เท่านั้น

ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ e:HEV และ VTEC Turbo ราคาเริ่ม 6.29-8.39 แสนบาท

Honda CR-V ใหม่ เทียบระหว่าง e:HEV หรือ VTEC Turbo เลือกรุ่นไหนดี ?

PPTVHD36 ได้มีโอกาสรู้จัก Honda City e:HEV SV มากยิ่งขึ้น ผ่านการจัดการทดสอบรถยนต์รุ่นดังกล่าวบนเส้นทาง กรุงเทพฯ-สิงห์บุรี ระยะทางรวมกว่า 130 กม. ซึ่งแน่นอนว่าเรามีโอกาสได้อยู่กับเจ้ารถยนต์รุ่นดังกล่าวนี้จนได้ทำความรู้จักพอสมควร

Honda City e:HEV SV ถือเป็นรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริดที่มี (แทบ) จะทุกอย่างเหมือนกันหมดกับในรุ่น e:HEV RS แต่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยอย่างเช่น ในรุ่น SV ไม่มี Honda LaneWatch ซึ่งส่วนตัวไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นจะต้องมีขนาดนั้น ฉะนั้นประเด็นตรงนี้ตัดไปได้เลย

นอกจากนั้น ในเรื่องระบบความปลอดภัยในรุ่น SV นี้ สิ่งมีมากกว่าในรุ่นเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร เทอร์โบ และมีเฉพาะในรุ่น e:HEV นั่นคือ ระบบ Adaptive Cruise Control ซึ่งมาพร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ ส่วนที่เหลือมีครบถ้วนทุกประการ 

ส่วนหน้าตาและการดีไซน์ภายนอกในทุกรุ่นย่อย มีการปรับเปลี่ยนไปเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับโฉมในรอบ 3 ปี (ตามวงรอบ) อันนี้แม้ว่า ฮอนด้า จะบอกว่ามีการปรับเปลี่ยนให้ดูแตกต่างจากเดิม แต่ส่วนตัวมองงว่าการปรับเปลี่ยนหน้าตาในครั้งนี้ ต่างกันไม่ถึง 20% ในการดีไซน์ภายนอก แต่เอาเป็พอให้พนักงานขายมีเรื่องไปบอกลูกค้าว่ามีการปรับโฉมหน้าตาไปอยู่บ้างเล็กน้อย

ภายในห้องโดยสารมีการใช้สีแดงตกแต่งในรุ่น SV และมีการเปลี่ยนวัสดุเป็นเบาะหนังสังเคราะห์ทั้งหมดแล้ว จากเดิมเป็นวัสดุผ้าผสมหนังสังเคราะห์ ซึ่ง ฮอนด้า บอกว่าได้รับฟังเสียงตอบรับของผู้บริโภคที่เรียกร้องให้มีการใส่สีแดงเข้ามาเพิ่มสีสันภายในห้องโดยสาร ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ละไว้ตามความชอบของแต่ละบุคคล

อีกเรื่องหนึ่งคือ รุ่นนี้ได้มีการปรับปรุงและพัฒนาหน้าจอภายในห้องโดยสารแล้วให้มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น แต่ส่วนตัวลองมองด้วยสายตาเพ่งพินิจพิจารณาแล้วนั้น อาจจะไม่เห็นถึงความแตกต่างมากนัก

ส่วนเรื่องประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และช่วงล่างนั้น ไม่มีการปรับเปลี่ยนแต่อย่างใดเมื่อเทียบกับกับรุ่นก่อนหน้า ในรุ่น e:HEV ยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ ลิเธียม-ไอออน ให้พละกำลังรวม 109 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ซึ่ง ฮอนด้า เคลมออัตราสิ้นเปลืองพลังงานไว้อยู่ที่ 27.8 กม./ลิตร โดยเราได้มีโอกาสลองใช้จริงแล้วต้องบอกว่าถ้าขับแบบเอาจริงเอาจังมุ่งหน้าในการทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองให้ไปในทางที่ดีอันนี้ไม่เกินจริง ส่วนถ้าขับแบบปุถุชนคนธรรมดาใช้งานในชีวิตประจำวัน อันนี้ต้องบอกว่ามีเกินกว่า 20 กม./ลิตร ให้ได้เห็นแน่ ๆ ถ้าไม่เหยียบหรือกระทืบคันเร่งแบบผิดปกติ

สำหรับการรับประกันเฉพาะรุ่น e:HEV ได้มีการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริดนาน 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบนาน 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

เอาเป็นว่า Honda City e:HEV SV การมุ่งหน้าแนะนำพลังงานทางเลือกในรถยนต์ ฮอนด้า ทุกรุ่น ตามแผนของบริษัทวันนี้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ และการเพิ่มรุ่นเริ่มต้นของพลังงานทางเลือก 'ไฮบริด' ในครั้งนี้ของ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ถือเป็นการขยายการเข้าถึงพลังงานทางเลือกให้ผู้บริโภคในราคาที่ดีกว่า 70,000 บาท เมื่อเทียบกับรุ่นท็อป e:HEV RS และราคาดีกว่า 20,000 บาท เมื่อเทียบกับรุ่นท็อปของเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร เทอร์โบ กับราคาค่าตัวของ Honda City e:HEV SV ที่อยู่ที่ 7.69 แสนบาท สอดคล้องกับแนวทางในการมุ่งเพิ่มสัดส่วนรุ่น e:HEV ของ Honda City ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% จากในรุ่นก่อนหน้าที่อยู่ที่ 10% เท่านั้นกับการมีทางเลือกเพียง 1 รุ่น ในรุ่นก่อนหน้า

ดังนั้น Honda City e:HEV SV ในราคาค่าตัววันนี้จึงถือเป็นความน่าสนใจที่จะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานทางเลือกไฮบริด และความกลมกล่อมของการทำงานที่ผสมกันระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ พร้อมทั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยและอื่น ๆ เทียบเท่ากับรุ่นท็อปสุดของ e:HEV แต่ตีตั๋วเด็กราคาย่อมเยาว์กว่า ก็น่าจะเป็นทางเลือกในการตัดสินใจของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี