เบาหวานลงไต แนะนำอาหารจำกัดโปรตีนชะลอการเสื่อม
ภาวะไตวายจากเบาหวานอาจเรียกอีกแบบว่า เบาหวานลงไต การรักษาที่ได้ผลหมอมักแนะนำให้ควบคุมอาหารร่วมด้วย
เบาหวาน คือ ภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ จึงส่งผลให้การไหลเวียนในเลือดผิดปกติทั่วร่างกายด้วย เมื่อเกิดขึ้นต่อเนื่องก็ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดที่ไต และเนื้อเยื่อในไต ทำให้การทำงานของไตลดลงตามมานั่นเอง ภาวะไตวายจากเบาหวานอาจเรียกอีกแบบว่า เบาหวานลงไต (diabetic nephropathy)
นอกจากตัวเบาหวานจะส่งผลที่ไตเองแล้ว ยังมีภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานที่มีผลกับการทำงานของไตด้วย คือ ความดันสูงจากเบาหวาน หรือการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะจากเบาหวาน (UTI) ก็เป็นสาเหตุของไตทำงานลดลงด้วยเช่นกัน
ไตวายเพราะเบาหวาน เช็กปัจจัยเสี่ยง แนะวิธีชะลอการเกิดภาวะเสื่อม
คนยุคใหม่ต้องระวัง 3 โรคตับที่เป็นง่ายแต่รักษาหายยาก
การตรวจที่จะระบุว่ามีเบาหวานลงไต ที่นิยมใช้คือการตรวจดูโปรตีนในปัสสาวะ ควบคู่กันกับการตรวจเลือดเพื่อดูระดับการเสื่อมของไต
การรักษาภาวะเบาหวานลงไตจะได้ผลดีเมื่อเป็นระยะเริ่มต้น ไม่ปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป โดยแพทย์มักจะใช้ทั้งการแนะนำเรื่องควบคุมอาหารร่วมกับการใช้ยา เพื่อทำให้ระดับน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมมากที่สุด และหากไม่มีข้อจำกัดแพทย์มักจะเลือกให้ยาลดแรงดันที่ท่อไต เพื่อชะลอการเสื่อมของไตจากภาวะเบาหวานลงไตด้วย
สำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมีข้อแนะนำในการรับประทานอาหารดังนี้
1.ความต้องการโปรตีน ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มีโรคเบาหวานร่วมด้วย ควรแนะนำอาหารจำกัดโปรตีนโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีการหลุดรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ การจำกัดโปรตีนในระดับนี้จะช่วยลดการหลุดรั่วของโปรตีนในปัสสาวะได้ เพื่อชะลอการเสื่อมของไต ซึ่งปฏิบัติง่ายๆ โดยจำกัดการรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเนื้อปลา ไข่ขาว เนื้อหมู เนื้อไก่ โดยรับประทานมื้อละ 2 – 3 ช้อนต่อมื้อ
2.ความต้องการพลังงานในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ยังไม่ได้รับการบำบัดทดแทนไต ควรแนะนำอาหารที่ให้พลังงานประมาณ 23-35 กิโลแคลอรี/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ของผู้ป่วย เช่น น้ำหนักปัจจุบัน อายุ เพศ กิจกรรมทางกาย โรคร่วมต่างๆ ตามแต่ละบุคคล
3.โซเดียม และโพแทสเซียม ควรจำกัดไม่เกิน 2400 มิลลิกรัม/วัน แต่ ต้องคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่างๆ เช่น ความดันโลหิต ยาที่ได้รับ สภาวะการทำงานของไต สมดุลของน้ำในร่างกาย ภาวะเป็นกรด-ด่างของเลือด ระดับน้ำตาลในเลือด สภาวะเครียดของร่างกาย รวมถึงอาการทางระบบย่อยอาหาร เพื่อปรับเพิ่ม-ลดปริมาณโซเดียม และโพแทสเซียมที่ควรได้รับในแต่ละวันด้วย
4.ฟอสฟอรัส ควรจำกัดฟอสฟอรัส 800-1000 มิลลิกรัม/วัน หรือประมาณ 10-12 มิลลิกรัม/ความต้องการโปรตีน 1 กรัม/วัน เพื่อป้องกันภาวะ Secondary Hyperparathyroidism
5.แคลเซียมที่ได้รับต่อวัน ไม่ควรเกิน 2000 มิลลิกรัม จากทั้งอาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และแคลเซียมใน phosphate binder เนื่องจากระดับแคลเซียมในเลือดเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมการทำงานของต่อมพาราไทรอยด์ ซึ่งส่งผลต่อกระดูกและ calcification ในเนื้อเยื่อต่างๆ
6.สำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มีโรคเบาหวานร่วมด้วย ควรแนะนำโภชนบำบัดสำหรับโรคเบาหวาน เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นมาก เป้าหมายของระดับ %HbA1C ควรไม่เกิน 7% การเพื่อชะลอความเสื่อมของไต
ขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน
สิ้นดาวตลก “โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม” เสียชีวิตแล้ว หลังป่วยหนัก
"วิตามิน" ตัวช่วยเสริมแกร่งร่างกาย กินเยอะไปอาจทำอันตรายต่อ "ตับ"