"นมแม่" วัคซีนหยดแรกของลูกน้อย แนะวิธีเก็บให้กินได้นานถึง 2 ปี
นมแม่นับเป็นอาหารที่ดีที่สุดในการช่วยเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันโรคให้กับลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิด
เด็กทารกที่เกิดใหม่ยังมีภูมิคุ้มกันที่ไม่สมบูรณ์ น้ำนมแม่เปรียบเสมือนวัคซีนหยดแรกสำหรับเด็ก เพราะมีภูมิคุ้มกันโรคจำนวนมากที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อย การได้กินนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้ทารกเติบโตได้สมบูรณ์แข็งแรง
เนื่องใน “สัปดาห์นมแม่โลก” ซึ่งองค์กรพันธมิตรนมแม่โลก (World Alliance for Breastfeeding Action) กำหนดให้ตรงกับทุกวันที่ 1-7 สิงหาคมของทุกปี เพื่อให้นานาประเทศเห็นความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้น จึงมีข้อมูลประโยชน์ของน้ำนมแม่มานำเสนอ
คลายความกังวลโควิด-19 ไม่มีใน "นมแม่" หมอแนะแต่ยังต้องระวัง
เตือนใช้ "นมข้นหวาน" เลี้ยงทารก เสี่ยงขาดสารอาหาร อันตรายถึงชีวิต
ภูมิคุ้มกันในเด็ก
การที่เด็กป่วยได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่นั้น เพราะมีความเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันเป็นหลัก เนื่องจากผู้ใหญ่จะมีภูมิคุ้มกันที่พัฒนาเต็มที่แล้ว แต่ในเด็กยังมีไม่ดีหรือไม่มากเท่า ทำให้เด็กเกิดการเจ็บป่วยหรือติดเชื้อได้ง่ายกว่า อีกทั้งระบบทางเดินหายใจในเด็กก็ยังตีบแคบกว่าในผู้ใหญ่ หากต้องป่วยจากการติดเชื้อบริเวณทางเดินหายใจ การมีเสมหะก็จะทำให้มีการอุดตันหรือกั้นทางเดินหายใจได้มากกว่า จึงทำให้เด็กมักป่วยนานกว่า
การป้องกันและลดความเสี่ยงโรคติดเชื้อในเด็ก
การป้องกันและลดความเสี่ยงการติดเชื้อในเด็ก ทำได้ด้วยการหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีคนพลุกพล่าน หรือการเข้าใกล้ผู้ป่วย ล้างมือบ่อยๆ สวมหน้ากากอนามัย (Mask) เป็นประจำ และที่สำคัญ คือ ควรฉีดวัคซีนให้ครบและตรงกำหนดตามช่วงวัย รวมถึงการให้ลูกน้อยได้ดื่มนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนแรก และดื่มให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกรักได้อย่างเต็มที่ เด็กจะได้เติบโตอย่างมีสุขภาพที่แข็งแรง
ก้อน "เส้นผม ฟัน" ในรังไข่ ไม่ใช่คุณไสยฯ แต่เป็นโรคเดอร์มอยด์ซีสต์
ระวัง 3 อาการพบบ่อย สัญญาณบอกโรคภายในของคุณผู้หญิง
ส่งเสริมให้ลูกดื่มนมแม่ เพิ่มภูมิต้านทาน ลดโอกาสเสี่ยงโรคและการติดเชื้อ
นมแม่ นับเป็นอาหารที่ดีที่สุดในการช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อย เพราะนมแม่อุดมไปด้วยสารอาหารครบถ้วน มีประโยชน์ทั้งในด้านการสร้างเสริมพัฒนาการและการเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อโรคต่างๆ ตัวอย่างเช่น
- มีสารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคบนผิวหนัง (Microbial colonization)
- มีโพรไบโอติคส์ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียตัวดีที่ช่วยย่อยอาหารในลำไส้
- มีสารนิวคลีโอไทด์ ช่วยให้เยื่อบุลำไส้ของทารกเจริญเติบโตเร็ว พร้อมรับการสัมผัสกับเชื้อประจำถิ่นได้
- สารเซอร์เคทเทอรี่ ไอจีเอ จากลานนมของแม่ ซึ่งเป็นสารภูมิคุ้มกันที่มีมากที่สุดในนมแม่จะไปดักจับเชื้อโรคบนเยื่อบุผิวลำไส้ และเยื่อบุผิวบนอวัยวะอื่นๆ ให้ลูกน้อย
- มี T-lymphocyte ทำหน้าที่จับกินเชื้อโรคที่มาเกาะเยื่อบุผิว ช่วยลดอัตราตายของทารกและเด็ก โดยเฉพาะจากโรคติดเชื้อทางระบบหายใจ และโรคอุจจาระร่วง
- การดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียวตลอด 3 เดือนแรกของทารก ช่วยลดการเกิดโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ผิวหนัง และการเป็นเบาหวานในอนาคตได้
- มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสายโมเลกุลยาว ช่วยพัฒนาการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อประสาทและจอประสาทตาเมื่ออายุ 6 เดือน
โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้กินน้ำนมแม่อย่างเดียวจนถึงอายุ 6 เดือน หลังจากนั้นสามารถกินน้ำนมแม่ต่อเนื่องได้ถึง 2 ปี หรือจนกว่าลูกจะเลิกกินนมแม่ไปเอง โดยควบคู่กับการกินอาหารให้ครบ 3 มื้ออย่างเหมาะสม เพื่อลูกจะได้รับสารอาหารที่สำคัญสำหรับร่างกาย สมอง และการพัฒนาในด้านต่างๆ
"เริม" ติดไม่ง่ายแต่ติดได้ รู้ชัดแยกความต่าง "อีสุกอีใส - ฝีดาษลิง"
7 อาการเฝ้าระวังของลูกน้อย เป็นแล้วต้องรีบไปพบแพทย์
เคล็ดลับการเก็บน้ำนมได้นานถึง 2 ปี
ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่า ลูกน้อยของเรานั้นต้องทานนม 1 ออนซ์ต่อ 1 ชั่วโมง หากคุณแม่ลูกอ่อนแต่ต้องออกไปทำงาน ก็จำเป็นต้องสต็อกเอาไว้ ประมาณ 10 – 12 ออนซ์ต่อวัน เพื่อให้ลูกน้อยได้ทานในช่วงที่เราไม่อยู่กับเขา และเมื่อกลับมาจากทำงานก็ปั๊มน้ำนมคืนในปริมาณเท่าเดิม คุณแม่สต็อกน้ำนมในปริมาณดังกล่าวได้จนลูกน้อยอายุ 1 ปีเลยทีเดียว แล้วค่อยลดปริมาณลง เมื่อลูกน้อยเริ่มทานอาหารตามช่วงวัยควบคู่ไปด้วย
ระยะเวลาการเก็บรักษาน้ำนมแม่เก็บที่ไหน? อยู่ได้กี่วัน?
- 4 ถึง 6 ชั่วโมง หากวางไว้ในห้องอุณหภูมิปกติ
- 1 วัน ในกระติกที่มีน้ำแข็งตลอดเวลา
- 1 ถึง 2 วัน ในตู้เย็นช่องธรรมดา (ระยะเวลาขึ้นอยู่กับความเย็นที่รั่วออกไปมากน้อยเมื่อเปิด-ปิดตู้เย็น)
- 2 อาทิตย์ ในช่องแช่แข็งของตู้เย็นแบบประตูเดียว
- 3 เดือน สำหรับช่องแช่แข็งของตู้เย็นแบบสองประตู
- 6 ถึง 12 เดือน เมื่อเก็บเอาไว้ในตู้เย็นชนิดตู้แช่แข็ง (อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส)
ข้อควรระวังเมื่อคุณแม่นำนมที่สต็อกออกจากตู้
- หากแช่แข็งเอาไว้ควรนำออกมาวางในช่องเย็นธรรมดาของตู้เย็น 12 ชั่วโมง ก่อนใช้งาน
- ควรละลายความเย็นในน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนเกินไป และแกว่งเบาๆ ให้น้ำนมที่แยกชั้นอยู่ให้เข้ากัน
- ไม่ควรละลายนมในน้ำร้อนจัด เพราะจะทำให้เม็ดเลือดขาวในน้ำนมแม่ ที่ช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันของทารกถูกทำลายได้ คุณค่าสารอาหารในน้ำนมก็จะเสียไปด้วย
ขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก โรงพยาบาลเปาโล
เรียกไม่หัน ได้ยินไม่ชัด! สัญญาณ“หูตึง” ภัยเงียบคร่าสมองในผู้สูงวัย
โควิดวันนี้ (2ส.ค.65) เสียชีวิตเพิ่ม 27 ราย ป่วยปอดอักเสบกว่า 900 ราย