นอนไม่หลับ! ใช้ “ยาแก้แพ้” ได้หรือไม่? รู้จักชนิดและผลข้างเคียงของยา
หลายคนเลือกกินยาแก้แพ้แทนยานอนหลับ เป็นว่าเล่น เพราะคิดว่าไม่เป็นไร แค่หลับสนิทก็พอแล้ว แต่จริงๆแล้ว ยาแก้แพ้เป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็วแต่อยู่ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง จึงทำให้ต้องกินซ้ำๆ เสี่ยงเกิดอาการติดยาแก้แพ้ อีกทั้งเป็นการใช้ผิดวัตถุประสงค์ ที่อาจเกิดผลข้างเคียงระยะยาวด้วย
รู้จักยาแก้แพ้ 2 ประเภท
- ชนิดที่ทำให้ง่วง หรือ ยาแก้แพ้รุ่นเดิม เช่น คลอร์เฟรามีน (Chlorpheniramine),ไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine) เป็นต้น ยาในกลุ่มนี้สามารถใช้รักษา
- อาการเยื่อจมูกอักเสบเนื่องจากภูมิแพ้ ที่มีอาการคัน, จาม, น้ำมูกไหล
- มักให้ร่วมกับยาชนิดอื่นตามอาการที่แสดง ผื่นลมพิษ ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
- อาการคันผื่นขึ้นเนื่องจากแมลงกัดต่อย สัมผัสพืชพิษ
- สัมผัสสารเคมีบางอย่าง
- บรรเทาอาการเมารถ เมาเรือได้
"ยานอนหลับ" อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แนะหัวใจสำคัญควรทำคู่การรักษา
5 เรื่องต้องห้ามก่อนเข้านอน ช่วยให้หลับลึก ไม่ตื่นกลางดึก
เนื่องจากยากลุ่มนี้ทำให้ ง่วงซึม จึงควรระวังการใช้ในผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการควบคุมเครื่องจักร ขับรถ และห้ามใช้ร่วมกับยากล่อมประสาท ยานอนหลับ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ระวังการใช้ในเด็กเล็ก เพราะอาจทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หญิงมีครรภ์ที่ต้องการใช้ยาจึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง
- ชนิดที่ไม่ทำให้ง่วงนอน หรือ ยาแก้แพ้รุ่นใหม่ การทำงานและประสิทธิภาพคล้ายกับยากลุ่มดั้งเดิม ให้ผลดีกว่าในการลดผื่นลมพิษแบบเฉียบพลัน และลดอาการคันได้เร็วกว่ายาอื่นในกลุ่มเดียวกัน เนื่องยาออกฤทธิ์เร็ว แต่อาจให้ผลบรรเทาอาการน้ำมูกไหล อาการเมารถ เมาเรือได้ไม่ดีเท่ากลุ่มดั้งเดิม
ยาแก้แพ้แม้จะเป็นยาสามัญประจำบ้าน แต่ควรใช้เท่าที่จำเป็นและอยู่ในการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกร หากเราบริโภคบ่อยๆ ยาแก้แพ้บางชนิด จะเข้าไปกดสารสื่อประสาท ชื่อ แอซิติลโคลีน (acetylcholine) ในสมอง จากงานวิจัยเราพบว่าหากบริโภคยาตัวนี้บ่อยๆ เป็นเวลานาน สารสื่อประสาทในสมองของเราจะถูกบั่นทอนประสิทธิภาพลงไปเรื่อยๆ อาจทำให้ระบบของสมองที่การทำงานด้านการจำเสื่อมถอย อาจทำให้มีอาการความจำสั้น เสื่อม มีอาการว้าวุ่น ย้ำคิดย้ำทำ และการใช้ยาแก้แพ้เพื่อรักษาอาการที่นอนไม่หลับอาจเป็นการใช้ยาผิดประเภท ผิดวัตถุประสงค์ไม่สมเหตุสมผล เพราะแทนที่จะแก้ที่ต้นเหตุของการนอนไม่หลับกลับเลือกใช้ผลข้างเคียงของยามาทำให้นอนหลับได้ อีกทั้งเป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็วแต่อยู่ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงจึงต้องกินซ้ำ และอาจเกิดอาการ “ติดยาแก้แพ้” ได้ทั้งนี้ไม่ว่าจะยานอนหลับ หรือ ยาแก้แพ้ ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ไม่ควร ใช้เองโดยไม่มีการศึกษาอย่างรอบครอบ
ทานยาแก้แพ้ในกลุ่มนี้ เสี่ยงโรคสมองเสื่อม!!
ลองปรับการกินอาหารเพื่อคุณภาพการนอนที่ดีขึ้นบางทียานอนหลับหรือยาแก้แพ้อาจไม่ใช่ทางออกซึ่งเราควรที่จะหลีกเลี่ยงโดยเฉพาะในช่วงอาหารมื้อเย็นที่จะเข้าไปกระตุ้นให้กหลับยากมากขึ้น
- เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม
- แอลกอฮอล์
- ของหวานๆ เพราะน้ำตาลจะกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว
- อาหารรสจัด และอาหารมันๆมากเกินไป
- อาหารปิ้งย่าง มื้อหนัก
- ลดอาหารที่มีโซเดียม เพราะทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น ร่างกายกระสับกระส่าย ทำให้นอนหลับยากขึ้น
- กรดอะมิโนจาก แอล-ทริปโตเฟน (L-Tryptophan) และสารกาบา (GABA) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในระบบประสาทส่วนกลาง พบมากในข้าว แป้งที่ไม่ผ่านการขัดสี เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้องงอก หรือ จมูกข้าว รวมไปถึง เผือก มัน งา สาหร่ายทะเล และนม แต่ควรรับประทานต่อเนื่องเป็นประจำจึงจะได้ผลดี
- ผลไม้ ได้แก่ กล้วย อินทผลัม ลูกพรุน ซึ่งอุดมไปด้วยกรดอะมิโน L-Tryptophan โดยสมองจะนำทริปโตเฟนไปสร้างสารเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งถ้าร่างกายมีสารตัวนี้เพียงพอ ก็จะเพิ่มการหลั่งของฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งช่วยในการควบคุมการนอนหลับให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ร่างกายจะรู้สึกผ่อนคลายจากความเครียด นอนหลับได้สนิทดี
- เมลาโทนิน (Melatonin) เป็นฮอร์โมนที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับโดยตรง พบมากในอาหารจำพวก ปลา และไข่ รวมทั้ง เชอร์รี่ ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีฮอร์โมนเมลาโทนินสูง ที่ช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น ถั่วประเภทวอลนัท ก็มีฮอร์โมนเมลาโทนินสูงเช่นกัน
- แมกนีเซี่ยม เป็นแร่ธาตุที่ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย เสริมการนอนหลับให้ดียิ่งขึ้น พบมากใน ถั่วต่างๆ และ ผักใบเขียว
- วิตามินบี มีความสำคัญในการสังเคราะห์เซโรโทนิน ทำให้ผ่อนคลาย และหลับได้สนิทขึ้น ซึ่งเมนูที่มีวิตามินบีสูง คือ ข้าวโอ๊ตใส่นมสดและกล้วยหอม หรือซุปมันฝรั่ง
- การดื่มชาคาโมมายล์อุ่นๆ ก่อนนอน จะช่วยให้หลับสบายขึ้น เนื่องจากเป็นสมุนไพรที่ช่วยทำให้อารมณ์รู้สึกผ่อนคลาย (Calming Herb) หรือจะดื่มนมถั่วเหลืองอุ่นๆ ซึ่งมีกรดอะมิโน แอล–ทริปโตเฟนสูง แก้วเล็กๆ ก่อนนอน ก็สามารถช่วยได้
หากปรับพฤติกรรม ทานอาหารและเครื่องดื่มที่ช่วยส่งเสริมการนอนหลับให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น แล้วยังนอนหลับได้ไม่ดีพอ แนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงของการนอนไม่หลับ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายที่ทำงานลดลง หรือโรคต่างๆ ที่อาจซ้อนเร้นโดยที่ไม่รู้ตัวแทนการกินยาแก้แพ้หรือยานอนหลับเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ข้อมูลจาก : โรงพยาบาลสมิติเวช,สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา,เพจภูมิแพ้ก็แพ้เรา
4 ท่านอนผิดๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ แนะปรับเพื่อคุณภาพการหลับที่ดีขึ้น
เทคนิคการหายใจ “4-7-8” ส่งเสริมคุณภาพการนอนหลับสบาย ภายใน 1 นาที