สัญญาณ “มะเร็งปากมดลูก” ใครบ้างเสี่ยงโรคร้ายคร่าชีวิตหญิงไทยอันดับ 1
“มะเร็งปากมดลูก” มะเร็งที่พบเป็นอันดับที่ 2 ในผู้หญิง รองจากมะเร็งเต้านม แต่กลับเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตสาวไทยมากเป็นอันดับ 1 แม้จะพบสาเหตุที่ชัดเจนและมีวิธีป้องกันแล้วก็ตาม เช็กสัญญาณเสี่ยงที่ผู้หญิงทุกคนต้องระวัง
“มะเร็งปากมดลูก” มะเร็งที่พบเป็นอันดับที่ 2 ในผู้หญิง รองจากมะเร็งเต้านม แต่กลับเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตสาวไทยมากเป็นอันดับ 1 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยสถิติผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปากมดลูกในประเทศไทยประมาณ 4,500 รายต่อปี และพบผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 8,000 คน ต่อปี นั่นคือจะมีสตรีไทยที่เสียชีวิตเฉลี่ย วัน 14คนถึงแม้จะเป็นมะเร็งเพียงไม่กี่ชนิดที่ทราบสาเหตุแน่ชัดแล้วก็ตาม
สัญญาณมะเร็ง 3 อันดับคร่าชีวิตผู้หญิง เจอเร็วโอกาสหายสูง ลดการเสียชีวิต
ผู้ป่วยมะเร็งต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด19 หรือไม่ ? เพราะอะไรถึงต้องฉีด?
ต้นตอของมะเร็งปากมดลูกนั้น คือ เชื้อไวรัส เอชพีวี (Human Papilloma Virus) ซึ่งปัจจุบันพบทั้งหมด 15 สายพันธุ์ จากทั้งหมด 100 สายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ 16 และ 18 HPV เป็นเชื้อที่ติดง่าย ติดต่อทางเพศสัมพันธ์และ ทางการสัมผัสจากพาหะที่นำพาเชื้อไปสู่ช่องคลอด ดังนั้น ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ทุกคนมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV ซึ่งก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้
เมื่อได้รับเชื้อ HPV จะอยู่ในร่างกายและมีเวลาดำเนินโรคประมาณ 10-15 ปี และจะแสดงอาการชัดเจนเมื่ออายุ 30-60 ปี รวมถึงมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูกและทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น หูดหงอนไก่ มะเร็งปากมดลูก และอื่นๆด้วย
ใครเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก
- ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อยกว่า 18 ปี
- ผู้หญิงที่มีคู่นอนหลายคน หรือแฟนมีคู่นอนหลายคน
- คลอดบุตรมากกว่า 3 คนขึ้นไป
- เป็นโรคที่ทำให้มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
- มีประวัติเป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน เช่น เริม หนองใน ฯลฯ
- สูบบุหรี่
สัญญาณเตือนควรพบแพทย์ด่วนหากมีอาการเหล่านี้ร่วมกันหลายอาการ
- เลือดออกทางช่องคลอด ทั้งเพียงเล็กน้อยหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือการมีเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน
- ประจำเดือนมามาก หรือนานกว่าปกติ
- เบื่ออาหาร , น้ำหนักลด
- มีของเหลวออกทางช่องคลอด หรือตกขาว ทั้งที่เป็นน้ำและข้น เป็นมูก เป็นหนอง มีเลือดปน มีเศษเนื้อปน แม้มีกลิ่นหรือไม่มีกลิ่นก็ตาม
- ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะเป็นเลือด (พบในกรณีมีการลุกลามไปกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย)
- ในรายที่โรคมีขนาดใหญ่ อาจทำให้เกิดการปวดถ่วงบริเวณท้องน้อย ปัสสาวะขัดหรือถ่ายอุจจาระลำบาก หรือกดเบียดท่อไตทำให้ไตทำงานผิดปกติ จนอาจถึงไตวายได้
- ขาบวม ซึ่งหมายถึงมะเร็งปากมดลูกได้ลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองแล้ว
อย่างที่บอกว่า มะเร็งปากมดลูกมักมีระยะฟักตัวในร่างกายที่นานนับ 10 ปีกว่าจะแสดงอาการ ฉะนั้นการตรวจคัดกรองในผู้หญิงทุกคนจึงเป็นเรื่องจำเป็น ด้วย การตรวจเซลล์ปากมดลูกด้วยวิธีทางเซลล์วิทยา หรือแป๊ปสเมียร์ (Pap smear) แม้ตรวจพบความผิดปกติระยะก่อนเป็นมะเร็งของเยื่อบุผิวปากมดลูกระดับรุนแรงก็ยังรักษาด้วยวิธีการที่ไม่ซับซ้อน ใช้ค่าใช้จ่ายไม่สูงนักเพื่อตัดโอกาสการพัฒนาไปเป็นมะเร็งปากมดลูกได้
- อายุ 21 ปีขึ้นไป หรือ 3 ปีหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ควรเริ่มทำการตรวจ และตรวจทุก ๆ 1-2 ปี
- อายุ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจทุกปี หากผลตรวจเป็นปกติติดต่อกัน 3 ปี สามารถเว้นระยะห่างออกไปตรวจทุก ๆ 3 ปี ได้
- อายุ 70 ปีขึ้นไป ไม่มีผลการตรวจที่ผิดปกติในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา และไม่มีปัจจัยเสี่ยง อาจยกเลิกการตรวจได้
ซึ่งหากปล่อยปะละเลยโชคร้ายมีโรคแฝงในระยะสุดท้าย อาจมีการแพร่กระจายมะเร็งไปยังอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย เช่น ตับ, ปอด, กระดูก เป็นต้น
นอกจากนี้ยังป้องกันก่อนติดเชื้อด้วยการฉีดวัคซีน HPV เน้นป้องกันอยู่ 2 สายพันธุ์หลักๆ 70% ที่เป็นต้นเหตุของการก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก คือ สายพันธุ์ที่ 16 และ 18 เพราะฉะนั้นถ้าฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่ยังไม่มีการสัมผัสเชื้อสองตัวนี้ได้ก็จะดีที่สุด และสามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็ก อายุ 9-10 ขวบ และมีการทำวิจัยพบว่า สำหรับเด็ก ไม่จำเป็นต้องฉีด 3 เข็มเหมือนผู้ใหญ่ ถ้าเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี สามารถฉีดวัคซีน แค่ 2 เข็มก็มีภูมิคุ้มกันต่อ 2 สายพันธุ์หลัก ป้องกันได้ 100%
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเปาโล และ โรงพยาบาลกรุงเทพ