เปลือกตากระตุก ไม่ใช่ลางบอกเหตุแต่เป็นสัญญาณบอกโรค
เปลือกตากระตุกหลายคนมักคิดว่าเป็นลางบอกเหตุ อีกทั้งยังสร้างความรำคาญ ที่จริงแล้วเป็นสัญญาณบอกโรค ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
รู้จักเปลือกตากระตุก
อาการเปลือกตากระตุก (Eyelid Twitching) เกิดขึ้นจากกล้ามเนื้อเปลือกตาเกิดการเกร็งกระตุก สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเปลือกตาบนและเปลือกตาล่าง ส่วนใหญ่จะเป็นที่เปลือกตาบน มีอาการตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง ส่วนใหญ่เป็นไม่นานก็หาย แต่ถ้าหากมีการกระตุกถี่เกินไป มีการกระตุกในส่วนอื่น ๆ บนใบหน้า อาจเป็นสัญญาณบอกโรคได้
เปลือกตากระตุกบอกความผิดปกติ
อาการเปลือกตากระตุกสามารถแยกออกเป็นโรคที่มีอาการแสดงและสาเหตุแตกต่างกันออกไป ได้แก่
แพทย์พบผู้ป่วยโรคตาเพิ่ม เหตุ"ติดจอ"มากเกินไป
เช็กสัญญาณเตือน ! ภาวะจอตาเสื่อมในผู้สูงวัย
• กล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่น (Eyelid Myokymia)
• กล้ามเนื้อเปลือกตาเกร็งกระตุก (Blepharospasm)
• กล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งกระตุกครึ่งซีก (Hemifacial Spasm)
กล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่น
กล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่น (Eyelid Myokymia) คือ ภาวะที่เปลือกตามีอาการเต้นหรือกระตุก เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยมีอาการเต้นหรือกระตุกเฉพาะบริเวณเปลือกตา ส่วนมากจะเป็นเพียงข้างเดียว พบว่าเกิดกับเปลือกตาล่างบ่อยกว่าเปลือกตาบน อาการมักเป็นสั้น ๆ และหายเองได้ในเวลาไม่กี่วินาทีหรือเป็นชั่วโมง แต่บางครั้งอาจมีอาการนานหลายสัปดาห์ได้
สาเหตุของโรค
สาเหตุของกล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีหลายปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่น อาทิ
-ความเหนื่อยล้า
-ความเครียด
-ความวิตกกังวล
-การดื่มคาเฟอีน
-การดื่มแอลกอฮอล์
-การออกกำลังกาย
-การสูบบุหรี่
-อาการระคายเคืองตา
-แสงจ้า
-ลมหรือมลภาวะทางอากาศ
-ยาบางชนิด เช่น Topiramate, Clozapine, Gold Salts, Flunarizine ฯลฯ
นอกจากนี้โรคทางระบบประสาทบางอย่างอาจทำให้เกิดภาวะเปลือกตากระตุกได้ แต่ส่วนใหญ่จะมีอาการทางระบบประสาทอื่นร่วมด้วย เช่น Demyelinating Diseases, Autoimmune Disease, Brainstem Pathology ฯลฯ
อาการต้องพบแพทย์
ส่วนใหญ่แล้วกล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่นมักจะหายได้เองถ้าหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว
-ตาเขม่นไม่หายเป็นเวลานาน 2 – 3 สัปดาห์
-ตาเขม่น ทำให้ลืมตายากหรือตาปิด
-มีการกระตุกบริเวณอื่นของใบหน้าหรือร่างกายร่วมด้วย
-ตาแดงหรือมีขี้ตา
-เปลือกตาตก
รักษากล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่น
ส่วนมากสามารถหายเองได้ โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ หากเป็นมากจนรบกวนชีวิตประจำวันหรือนานเกิน 3 เดือน อาจพิจารณาให้รักษาด้วยการฉีด Botulinum Toxin
กล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งกระตุกครึ่งซีก
กล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งกระตุกครึ่งซีก (Hemifacial Spasm) คือ ภาวะที่มีการกระตุกของกล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีก มักพบในช่วงอายุ 50 – 60 ปี และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย อาการมักเริ่มที่เปลือกตาก่อนแล้วค่อย ๆ เป็นมากขึ้น โดยมีอาการกระตุกที่แก้มและริมฝีปากด้านเดียวกัน อาการกระตุกนี้ไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อโรครุนแรงขึ้นจะมีอาการกระตุกเกือบตลอดเวลา อาจพบอาการกระตุกขอบใบหน้าอีกฝั่งได้ แต่พบน้อยมาก และจะมีอาการกระตุกไม่พร้อมกัน
"วัณโรค" ตัวร้ายเกิดได้กับอวัยวะทุกส่วน รู้เร็วรักษาหาย
ปัจจัยกระตุ้นโรค
-การเคลื่อนไหวใบหน้า
-ความวิตกกังวล
-ความเครียด
-ความเหนื่อยล้า
ประเภทของโรค
กล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งกระตุกครึ่งซีกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
• Primary Hemifacial Spasm คือ การที่เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 โดนกดทับจากเส้นเลือดบริเวณใกล้เคียง ทำให้เกิดความผิดปกติของการควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า เกิดการกระตุกของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าและเปลือกตา
• Secondary Hemifacial Spasm พบได้น้อยกว่า Primary Hemifacial Spasm บางครั้งอาจไม่ทราบสาเหตุ และพบว่าบางรายมีประวัติครอบครัวร่วมด้วย โดยอาจเกิดจาก
-เส้นเลือดแข็งตัว (Atherosclerosis)
-เส้นเลือดผิดปกติ (Arteriovenous Malformation)
-เส้นเลือดโป่งพอง (Aneurysm)
-เนื้องอกของต่อมน้ำลาย
-เนื้องอกที่บริเวณ Cerebellopontine Angle
-การบาดเจ็บของเส้นประสาทคู่ที่ 7
-รอยโรคของก้านสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคปลอกประสาทอักเสบ และ Bell’s Palsy
ตรวจวินิจฉัยโรคและรักษา
-ซักประวัติและตรวจร่างกายเพิ่มเติม เช่น การตรวจสมองและเส้นประสาทสมองด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ฯลฯ
-รักษากล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งกระตุกครึ่งซีก
-กลุ่มยากันชัก อาจช่วยลดอาการได้บ้างในบางราย
-การฉีด Botulinum Toxin
-การผ่าตัด Microvascular Decompression ในกรณีที่มีเส้นเลือดกดทับเส้นประสาท
แม้อาการเปลือกตากระตุกสามารถหายได้เอง แต่อย่านิ่งนอนใจ หากมีอาการเรื้อรังนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน มีอาการผิดปกติของดวงตาที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ควรรีบพบจักษุแพทย์โดยเร็ว
ภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน รักษาไม่ทันอันตรายถึงชีวิต
ขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก โรงพยาบาลกรุงเทพ