“กรดยูริก" ในเลือดสูงนานแค่ไหน? เสี่ยงโรคเกาต์-นิ่วในไต
กรดยูริกในเลือดสูง เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคเกาต์และนิ่วในไต รวมทั้งอาการทางเมตาบอลิกต่างๆ เช็กเลยค่ายูริกควรไม่เกิดเท่าไหร่? และใครบ้างควรระวัง-วิธีป้องกันและรักษาก่อนโรคเกาต์ตามหา
ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) เป็นความผิดปกติที่พบได้บ่อย โดยทางการแพทย์จะกำหนดว่าเมื่อกรดยูริกในเลือดสูงเกินขีดจำกัดของความสามารถในการละลายของกรดยูริก (Monosodium urate) คือ 6.8 มก./ดล. ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ถือว่ามีภาวะกรดยูริกสูง
ภาวะกรดยูริกในเลือดสูงเสี่ยงอะไรบ้าง ?
ระดับกรดยูริกในเลือดที่เกิน 7 มก./ดล. จะเริ่มมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคข้ออักเสบจากผลึกเกลือยูเรตหรือโรคเกาต์ และเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วที่ไต
“กรดยูริก” สะสมในเลือดสูงกระตุ้นโรคเกาต์ พบได้ที่ไหนบ้าง?
“เกาต์”โรคข้ออักเสบที่ไม่สามารถหายเองได้ รู้ทันอาการ-วิธีป้องกัน
ดังนั้นโดยทั่วๆ ไป เราจึงใช้ระดับกรดยูริก มากกว่า 7 มก./ดล. ในการบอกว่าเป็นภาวะกรดยูริกในเลือดสูงค่าการทำงานของไต นอกจากนี้ น้ำหนัก อายุ เพศ ความดันโลหิตและการดื่มแอลกอฮอล์ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะกรดยูริกในเลือดสูงได้
ในเด็กระดับกรดยูริกในเลือดจะอยู่ในช่วง 3 – 4 มก./ดล. เนื่องจากมีการขับออกทางไตได้ดี เมื่อเข้าวัยหนุ่มสาว ผู้ชายค่ากรดยูริกในเลือดจะเพิ่มขึ้น 1 – 2 มก./ดล. และมักจะคงที่ระดับนี้ไปตลอดชีวิต ในขณะที่ผู้หญิงแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่าจนกว่าจะหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นผลจากฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน ซึ่งมีฤทธิ์ในการเพิ่มการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ หลังวัยหมดประจำเดือนระดับกรดยูริกในผู้หญิงจากค่อยๆ สูงขึ้น จนมีค่าใกล้เคียงกับระดับกรดยูริกในเลือดของผู้ชาย
ระดับกรดยูริกในเลือด ที่มากกว่า 9 มก./ดล. จะทำให้การเกิดโรคเกาต์ต่อปีสูงขึ้นถึง 4.9 % เมื่อเทียบกับคนที่มีระดับกรดยูริกในเลือดน้อยกว่า 7 มก./ดล. จะพบเพียง 0.1 %เท่านั้น
กรดยูริกสูงไม่จำเป็นต้องเป็นโรคเกาต์แต่เพิ่มความเสี่ยงหลายเท่า!
ผู้ที่มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูง ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการของโรคเกาต์ แต่มักจะพบอาการทางเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome) ได้แก่
- โรคความดันโลหิตสูง
- ไขมันในเลือดสูง
- โรคอ้วนลงพุง
- โรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน
กรดยูริกสูงต่อเนื่องเป็นเวลานานเสี่ยงโรคเกาต์ได้
- ผู้ที่มีระดับกรดยูริกในเลือดมากกว่า 9 มก./ดล. เป็นเวลา 5 ปี จะมีโอกาสเป็นโรคเกาต์ สูงถึง 22 %
- ผู้ที่มีระดับกรดยูริก 7 – 8.9 มก./ดล. นาน 5 ปี พบเพียง 3 % เท่านั้น
อาหารที่ผู้ป่วยเกาต์กินได้แต่พอดี-ควรเลี่ยง ป้องกันปวดข้อกำเริบ
การรักษาภาวะกรดยูริกในเลือดสูง
- ออกกำลังกายและลดน้ำหนัก ลดระดับกรดยูริกเท่ากับลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ด้วย
- จำกัดการรับประทานเนื้อแดงหรืออาหารทะเล การรับประทานเนื้อแดงปริมาณมาก จะทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดเพิ่มขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ แต่การรับประทาน พืช ฝัก ถั่ว หรือผักที่มีสารพิวรีนสูง ไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์
- ลดหรืองดการดื่มสุรา โดยเฉพาะเบียร์หรือสุราที่ผ่านการกลั่น
- จำกัดการทานน้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาล
- รักษาภาวะหรือโรคอื่นที่พบร่วม เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือภาวะไขมันในเลือดสูง
อย่างไรก็ดีการพบว่าเรามีกรดยูริกสูงหรือไม่ มักเจอหลังมีอาการหรือการตรวจสุขภาพประจำปี ฉะนั้นควรพบแพทย์เพื่อเช็กอัพร่างกายเสมอ ซึ่งหากพบความผิดปกติของกรดยูริก การลดระดับกรดยูริกในเลือดโดยการปรับพฤติกรรม เป็นวิธีที่ดีที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลสมิติเวช
ภาพจาก : Shutterstock
เช็กข้อแตกต่าง โรคเกาต์และข้อเข่าเสื่อม “โรคข้ออักเสบ” ที่พบได้บ่อย
“โรคเกาต์” รักษาหายหรือไม่ หลัง “ตุ๊ก-ปิยะพงษ์” เผชิญกว่า 20 ปี