ปวดข้อ-เท้าบวม สัญญาณเสี่ยงโรคเกาต์ ไม่กินไก่ช่วยได้หรือไม่?
โรคเกาต์ เกิดจากร่างกายที่สะสมกรดยูริกในปริมาณที่มากเกินไป หรือร่างกายขับออกไม่ทัน ส่งผลให้เกิดภาวะกรดยูริกในเลือดสูงจนเกิดการตกผลึกตามข้อต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดและบวมตามข้ออย่างรุนแรง แล้วสัญญาณเสี่ยงของโรคคืออะไร ปวดแบบไหน? ควรพบแพทย์
รู้หรือไม่? ไก่ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักทำให้เกิดเกาต์
เมื่อพูดถึงโรคเกาต์ เราคงคุ้นชินกับคำว่า “ห้ามกินไก่” แต่ในความเป็นจริงแล้ว การกินไก่หรือกินสัตว์ปีกไม่ได้เป็นปัจจัยหลักในการเกิดโรคเกาต์ เพราะยังมีอาหารอีกหลายอย่างที่กระตุ้นให้เกิดโรคเกาต์ได้ เช่น เครื่องในสัตว์ ยอดผัก กุ้งเล็กๆ (เคย) กะปิ ปลาซาร์ดีน หอยแมลงภู่ หรือแม้แต่สารสกัดจากยีสต์ ซึ่งแล้วแต่บุคคล
เทคนิครักษา“ข้อเท้าแพลง”จากอุบัติเหตุให้หายบวมเร็ว
“รองเท้าส้นสูง” สวมไม่พัก อาจเสี่ยงกระดูกเท้าผิดรูป
ซึ่งการกินอาหารที่มีกรดยูริกสูงจะเป็นตัวกระตุ้นให้ภาวะเกาต์กำเริบได้ และหากดูจากสถิติของผู้ที่เป็นโรคเกาต์จะพบว่า 1 ใน 5 ของผู้ป่วยโรคเก๊าต์จะมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย
ปวดแบบไหนที่อาจใช่โรคเกาต์
โรคเกาต์ เป็นโรคที่ทำให้เกิดการอักเสบตามข้อ อาการที่แสดงออกอย่างชัดเจนก็คือการปวดแสบร้อน บวม แดงตามข้อต่ออย่างเฉียบพลันเป็นระยะๆ ซึ่งอาจเกิดที่ข้อต่อเดียว หรือหลายข้อต่อพร้อมกันได้ แต่ที่พบโดยส่วนใหญ่มักจะเกิดบริเวณ
- ข้อต่อนิ้วหัวแม่เท้าก่อน แล้วจึงลุกลามไปที่ข้อต่ออื่นๆ เช่น ข้อเท้า ข้อต่อกระดูกมือ ข้อมือ หรือ ข้อศอก และหัวเข่า
โรคเกาต์ อาการและการรักษา
- ผู้ป่วยจะปวดรุนแรงในช่วง 4-12 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นอาการจะบรรเทาลง และหายไปเองภายใน 7-10 วัน
- กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมาก อาจปวดนานหลายสัปดาห์ หรือมีอาการเจ็บปวด บวมแดง แสบร้อน จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันในช่วงนั้น
การรักษาโรคเกาต์
แพทย์มักพิจารณารักษาด้วยการใช้ยาเป็นหลัก โดยดูจากอาการและสุขภาพโดยรวมจากการซักประวัติผู้ป่วย รวมถึงค่ากรดยูริกที่ตรวจวัดได้ การใช้ยาจะช่วยบรรเทาอาการปวดให้ลดลงอย่างรวดเร็ว และป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดของโรคเกาต์ในบริเวณข้ออื่นๆ รวมไปถึงลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากโรค เช่น โครงสร้างข้อต่อผิดรูป ไตเกิดความผิดปกติ
กรดยูริกสูง อย่าปล่อยไว้ อาจเสี่ยงโรคเกาต์ได้
สำหรับคนไข้ที่ตรวจพบว่ามีกรดยูริกสูงแต่ยังไม่มีอาการของโรคเกาต์ แพทย์จะแนะนำแนวทางในการดูแลตนเอง แต่สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงมากหรือเป็นโรคเกาต์แล้ว การรักษาหรือการกินยาคือสิ่งจำเป็น เพราะหากไม่ได้รับการรักษา และมีการสะสมของกรดยูริกสูงขึ้นมาก อาจเกิดเป็นก้อนโทฟี่หรือปุ่มนูนใต้ผิวหนังตามข้อต่างๆ เช่น นิ้วมือ เท้า ข้อศอก หรือเอ็นร้อยหวาย ถึงแม้ก้อนนี้จะไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวด แต่หากอาการของโรคกำเริบเมื่อไหร่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและปวดตามข้ออย่างมาก จนถึงทำให้ข้อต่อบิดเบี้ยวผิดรูปและไม่หายไป นอกจากนี้ยังมีโอกาสเกิดนิ่วในไตจากการสะสมของผลึกยูเรตในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งอาจทำให้การทำงานของไตผิดปกติหรือเกิดภาวะไตวายได้
“วัยทอง” ทำไมถึงเสี่ยงโรคกระดูกพรุนมากกว่า? แนะวิธีหลีกเลี่ยงป้องกันโรค
ลดเสี่ยง “โรคเกาต์” ได้ด้วยตนเอง
สาเหตุใหญ่คือเรื่องของพันธุกรรม แต่การกินก็มีส่วนเป็นอย่างมาก สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงจึงควรดูแลตัวเองให้ห่างไกลโรคเกาต์ ดังนี้
- ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลฟรุกโตส
- ลดการกินอาหารที่มีสารพิวรีนสูง เช่น สัตว์ปีกโดยเฉพาะบริเวณข้อ เครื่องในสัตว์ ยอดผักต่างๆ สัตว์หรือพืชที่กำลังอยู่ในช่วงเติบโต
- กินอาหารที่มีวิตามินซีให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ และไม่ทำให้เกิดการตกตะกอนในระบบทางเดินปัสสาวะที่อาจนำไปสู่การเกิดนิ่วในไต
- พยายามรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่อ้วนจนเกินไป
- หากต้องกินยาบางประเภทเป็นประจำควรปรึกษาแพทย์ เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาเคมีบำบัดบางชนิด ยาแอสไพริน และยาลดความดันโลหิตบางชนิด
- รักษาโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือด โรคไต โรคเบาหวาน ให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้
โรคเกาต์จะรักษาได้ด้วยการกินยา แต่ก็เหมือนกับโรคอื่นๆ ที่การตรวจพบความเสี่ยงเร็วก็จะช่วยให้เกิดการป้องกันที่ดี หรือหากพบโรคเร็วก็สามารถลดการลุกลาม และไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดเพราะยังไม่มีการอักเสบตามข้อได้ ดังนั้นการตรวจสุขภาพที่มีการตรวจหาค่ากรดยูริกจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ทำให้เราสามารถป้องกัน หลีกเลี่ยงโรคเกาต์ หรือรักษาได้ทันก่อนลุกลาม
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเปาโล
อย่าละเลย "ปวดเท้า" เช็กสัญญาณเตือน อาการแบบไหนเสี่ยงโรคอะไร