ภูมิคุ้มกันบำบัด รักษามะเร็งปอดเพิ่มโอกาสการรักษาให้หายขาด
มะเร็งปอด ในโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากในแต่ละปี ปัจจัยไม่ได้เฉพาะเจาะจงแค่ผู้ที่สูบบุหรี่เท่านั้น เพราะยังมีความเสี่ยงจาก มลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่น PM 2.5 รวมถึงการสูดเอาสารเคมี สารระเหย ที่มีปะปนอยู่ทั่วไปในที่ทำงานของหลายอุตสาหกรรม
ผู้ที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยพบว่าเป็นมะเร็งปอดในระยะลุกลามมักมีความรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง เพราะคิดว่าไม่มีทางรักษาให้หายแล้ว แต่ในความเป็นจริง ด้วยความเจริญทางการแพทย์ในปัจจุบัน จึงมีแนวทางในการรักษาที่เป็นทางเลือกใหม่ที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถควบคุมโรคได้ดีขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีอายุยืนยาวขึ้นอีกหลายปี หรือแม้กระทั่งเพิ่มโอกาสการรักษาให้หายจากโรคมะเร็งปอดได้ ซึ่งเรียกว่าการรักษาแบบ Immunotherapy หรือ การรักษาด้วยยาภูมิคุ้มกันบำบัด
ไอเรื้อรัง อาจเป็นสัญญาณของภูมิแพ้ หรือ โรคร้ายแรง เผยอาการควรพบแพทย์
สธ.เตรียม ชง ครม. มาตรการป้องกันฝุ่น PM 2.5 ใช้พื้นที่ควบคุมโรค ออกประกาศ WFH
Freepik/kuprevich
รักษามะเร็ง

ภูมิคุ้มกันบำบัด รักษามะเร็งปอดคืออะไร?
Immunotherapy หรือ ยาภูมิคุ้มกันบำบัด คือวิธีการรักษามะเร็งแนวใหม่ที่ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เป็นการรักษาโดยอาศัยหลักการ “การกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายคนไข้ เข้ามาช่วยควบคุมโรคมะเร็งของตัวคนไข้เองโดยตรง” เพราะเดิมทีภูมิคุ้มกันของเรานั้นมีหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคและป้องกันไม่ให้มีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกายอยู่แล้ว ซึ่งมะเร็งคือสิ่งแปลกปลอมชนิดที่เป็นเนื้องอกในร่างกายที่เจริญเติบโตผิดปกติ แต่เป็นเซลล์ที่หลอกภูมิคุ้มกันของเราว่าเป็นเซลล์ปกติแล้วค่อยๆ เติบโตขึ้น
ด้วยกลไกของภูมิคุ้มกันนี้เอง จึงได้มีการศึกษาวิจัยค้นคว้าจนพบวิธีการที่ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราแข็งแกร่งมากขึ้นและสามารถสังเกตจับเซลล์มะเร็งได้ กล่าวคือ ยาภูมิคุ้มกันบำบัด จะทำหน้าที่ไปกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันของคนไข้ฉลาดและแข็งแรงขึ้น เหมือนติดอาวุธให้ภูมิคุ้มกันค้นหาเซลล์มะเร็งเจอแล้วไปฆ่าเซลล์มะเร็งนั้น จึงควบคุมโรคได้ดีขึ้น ทำให้การลุกลามของมะเร็งลดลง รวมถึงยังพบว่ามีคนไข้ประมาณ 5-10% ที่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยการใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดจนสามารถทำให้เซลล์มะเร็งที่ลุกลามนั้นหายไปได้ โดยยาภูมิคุ้มกันบำบัดนั้น นอกจากจะใช้รักษามะเร็งปอดได้แล้ว ก็ยังสามารถใช้รักษามะเร็งชนิดอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น มะเร็งตับ มะเร็งไทรอยด์ มะเร็งเม็ดสี (มะเร็งผิวหนัง) มะเร็งไต มะเร็งลำไส้ เป็นต้น
ยาภูมิคุ้มกันบำบัดดีอย่างไร?
- เป็นกระบวนการรักษามะเร็งขั้นลุกลามที่มีประสิทธิภาพ และมีผลข้างเคียงในการรักษาน้อยมาก เมื่อเทียบกับวิธีการรักษาทางเลือกอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาพุ่งเป้า ยาเคมีบำบัด และการฉายแสง
- สามารถใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดควบคู่ไปกับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ได้ ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาสูงขึ้น เช่น ใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดควบคู่ไปกับการใช้ยาเคมีบำบัดตั้งแต่แรก
แม้ผลข้างเคียงจากการใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดจะมีน้อย แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน แต่มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดเพียงแค่ 1-3% เท่านั้น ซึ่งผลข้างเคียงที่พบได้ก็มีความรุนแรงไม่มากนักเมื่อเทียบกับการฉายแสงหรือใช้เคมีบำบัด เช่น อาจส่งผลทำให้ปอดอักเสบ โดยแนวทางในการรักษาผลข้างเคียงก็ไม่ซับซ้อน และสามารถรักษาได้ง่ายด้วยการหยุดยาภูมิคุ้มกันบำบัด แล้วให้ยาสเตียรอยด์ที่มีฤทธิ์กดภูมิ ผู้ป่วยก็จะมีอาการดีขึ้นตามลำดับ
การรักษามะเร็งปอดด้วยยาภูมิคุ้มกันบำบัด
วิธีการรักษามะเร็งปอดรวมถึงมะเร็งอื่นๆ ในปัจจุบัน จะไม่ใช่เรื่องของการใช้ยาเพียงอย่างเดียว แต่แพทย์จะพิจารณาจากการวินิจฉัยโรคว่า “คนไข้คนนั้นๆ เหมาะกับการรักษาแบบไหนมากที่สุด” ซึ่งสามารถทำได้โดยการ “ตัดชิ้นเนื้อหรือเจาะเลือดของคนไข้ไปตรวจทางพันธุกรรมมะเร็ง (Precision Cancer Medicine)” เพื่อให้ทราบว่าเหมาะกับการรักษาด้วยยาชนิดใด ไม่ว่าจะเป็นยาพุ่งเป้า ยาเคมีบำบัด การฉายแสง รวมถึงการใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดด้วย
ซึ่งการตรวจทั้งจากการเจาะเลือดและตรวจชิ้นเนื้อเพื่อหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดนี้ เป็นกระบวนการที่สามารถทำได้ในประเทศไทย จึงใช้เวลาเพียงแค่ 1-2 สัปดาห์ ก็จะทำให้คนไข้สามารถทราบแผนการรักษาของตัวเองได้อย่างชัดเจน ซึ่งหากตรวจสอบชิ้นเนื้อแล้วพบว่าเหมาะกับการรักษาด้วยยาภูมิคุ้มกันบำบัด จะมีขั้นตอนในการรักษาดังต่อไปนี้
- คนไข้เข้ารับยาภูมิคุ้มกันบำบัดโดยลักษณะเดียวกับการให้น้ำเกลือ
- เข้ารับยาทุกๆ 2-3 สัปดาห์ ครั้งละประมาณ 1 ชั่วโมง โดยไม่จำเป็นต้องให้ยาแก้แพ้ แก้อาเจียน เนื่องจากผลข้างเคียงน้อยมาก
- โดยทั่วไปผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดจะได้รับการนัดรับยาภูมิคุ้มกันบำบัดต่อเนื่องประมาณ 2 ปี ก็จะสามารถหยุดยาได้ เนื่องจากสามารถควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
- หลังจากครบ 2 ปี แม้จะหยุดให้ยาแล้ว แต่แพทย์ก็จะยังนัดคนไข้เข้ามาตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากโรคมะเร็งปอดในระยะลุกลาม แม้จะควบคุมโรคได้ดีก็มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้ ซึ่งหากตรวจพบว่ากลับมามีอาการ เช่น มีก้อนใหม่เกิดขึ้น ก้อนเดิมใหญ่ขึ้น หรือมีปริมาณก้อนมากขึ้น ก็จะกลับเข้าสู่แนวทางการรักษาใหม่อีกครั้งด้วยการให้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดต่อไป
- คนไข้ที่ตอบสนองต่อการใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดได้ดี มีโอกาสที่จะหายขาดจากโรคมะเร็งปอดได้ คือไม่ใช่แค่ควบคุมการลุกลามของโรคได้เท่านั้น แต่สามารถรักษาแล้วทำให้เซลล์มะเร็งหายไปจนหมด
หมอธีระ เผยวิจัยล่าสุดพบฝุ่น PM2.5 เพิ่มความเสี่ยง โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ขึ้น 12%
ดูแลตัวเอง เมื่อใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดรักษามะเร็งปอด
แนวทางในการดูแลตัวเองของผู้ป่วยมะเร็งปอดหลังได้รับยาภูมิคุ้มกันบำบัดนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้มีข้อห้ามอะไรเป็นพิเศษ เนื่องจากตัวยามีผลข้างเคียงน้อยอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ ก็มีแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้ประสิทธิภาพในการรักษาดีขึ้นได้ด้วย โดยผู้ป่วยควรปฏิบัติดังนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
- ทำจิตใจให้แจ่มใสสดชื่น
ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น ในกรณีกลับกัน หากภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่ดีจากการที่ผู้ป่วยไม่ดูแลตัวเอง ผลการรักษาก็จะด้อยประสิทธิภาพตามลงไปด้วย กล่าวคือ ยาภูมิคุ้มกันบำบัดก็อาจใช้ไม่ได้ผลอย่างที่ตั้งเป้าเอาไว้
อย่างไรก็ตามมะเร็งปอดถือเป็นภัยเงียบที่น่ากลัว เพราะไม่มีอาการที่เป็นสัญญาณเตือนบ่งชี้แน่ชัด โดยส่วนใหญ่แล้วคนไข้มักจะมาด้วยอาการไอเรื้อรัง หรือบางคนก็มีอาการเหนื่อยหอบร่วมด้วย เนื่องจากมีน้ำในเยื่อหุ้มปอด แต่อาการเหล่านี้ก็ไม่ได้เจาะจงว่าจะเป็นมะเร็งปอดเสมอไป ทำให้หากไม่ตรวจเอกซเรย์ หรือทำ CT Scan เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ก็จะไม่ทราบเลยว่าเป็นมะเร็งปอดหรือไม่ ทำให้โรคอาจลุกลามร้ายแรงจนรักษาได้ยาก ดังนั้น การหมั่นตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่ ได้รับควันบุหรี่มือสองบ่อยๆ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษสูง มี PM 2.5 มากๆ จึงเป็นตัวช่วยสำคัญในการคัดกรอง เพราะหากตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอดได้เร็วตั้งแต่ระยะเริ่มต้นก็สามารถผ่าตัดรักษาให้หายขาดได้
ยาภูมิคุ้มกันบำบัด หรือ Immunotherapy ถือเป็นการเปลี่ยนบทบาทในการรักษาโรคมะเร็งปอดในอดีตไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเดิมทีคนไข้ที่ทราบว่าตัวเองเป็นมะเร็งปอดระยะลุกลามนั้น มักจะถอดใจแล้ว เพราะคิดว่าไม่มีทางรักษาให้หายได้ แต่ปัจจุบัน ยาภูมิคุ้มกันบำบัด รวมถึงแนวทางการรักษาอื่นๆ อย่างยาพุ่งเป้า คือวิธีการรักษาที่สามารถควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถยืดอายุของคนไข้ให้อยู่ต่อไปได้อย่างยาวนานขึ้น หรืออาจถึงขั้นหายขาดจากโรคได้
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท 3
ระยะและชนิดมะเร็งปอด เผยวิจัยฝุ่นPM2.5 เพิ่มเสี่ยง 1.4 เท่าเทียบบุหรี่
วิจัยเผยไม่สูบบุหรี่ก็เป็นมะเร็งปอด กว่าครึ่งเป็นผู้หญิง เปิด 5 ปัจจัยเสี่ยง