“โรคอ้วน” เหมือนธรรมดาแต่อันตราย เสี่ยงเสียชีวิตเร็วกว่า 10 ปี
โรคอ้วน เหมือนจะไม่อันตรายแต่เป็นภาวะอันตรายจากโรคร่วม จากไขมันที่พอกไปทั้งตัว อาทิ มะเร็ง ซึมเศร้า ความดันโลหิตสูง เบาหวานชนิดที่สอง ไขมันในเลือดสูง ทางการแพทย์เผยมีโอกาสเสียชีวิตเร็วกว่าคนทั่วไป 7-10ปี เผยวิธีคำนวนค่า BMI วัดระดับความอ้วน
โรคอ้วน (Obesity) คือ ภาวะที่มีน้ำหนักตัว หรือสัดส่วนไขมันในร่างกายมากผิดปกติ โดยใช้เกณฑ์ดัชนีมวลกาย (Body mass index: BMI) เป็นตัวกำหนด คุณสามารถคำนวณค่า BMI ได้เองจาก น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง เช่น น้ำหนัก 79 kg ส่วนสูง 155 cm หรือ 1.55 m

- ค่า BMI 23.0 – 24.9 kg/m² เรียกว่า “น้ำหนักเกิน”
- ค่า BMI > 25 kg/m² เรียกว่า “โรคอ้วน”
ตามสถิติขององค์การอนามัยโลกคนไทยเกือบ1 ใน 3 มีน้ำหนักตัวมากจนเป็นโรคอ้วนแล้ว เป็นอันดับสองของภูมิภาคอาเซียน รองจากมาเลเซีย ส่วนประเทศที่ประชากรเฉลี่ยอ้วนที่สุดในโลกคือ สหรัฐอเมริกา และจีน
อันตรายของโรคอ้วน
โรคอ้วน หากมองเพียงเรื่องน้ำหนักมาก ขนาดตัวที่ใหญ่ ใส่เสื้อผ้าไม่มั่นใจ ล้วนเป็นเรื่องของบุคลิกภาพ ความสวยความงาม นับว่ากลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย หากเทียบกับสิ่งที่จะตามมาเมื่อเป็นโรคอ้วน นั่นก็คือ “โรคร่วมจากความอ้วน” ซึ่งเกิดจากไขมันที่สะสมตามอวัยวะต่างๆ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และยิ่งอ้วนมากยิ่งจะมีโอกาสเสียชีวิตได้เร็วกว่าคนทั่วไปเฉลี่ยประมาณ 7-10 ปี
โรคร่วมที่เกิดจากโรคอ้วน
- ฮอร์โมนและเมตาบอลิค ความดันโลหิตสูง เบาหวานชนิดที่สอง ไขมันในเลือดสูง
- สมอง โรคซึมเศร้า วิตกกังวล หงุดหงิดง่าย โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤต อัมพาต
- คอ นอนกรน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive sleep apnea; OSA)
- ระบบการหายใจ หอบหืด เหนื่อยง่าย ความดันปอดสูง
- ระบบไหลเวียนโลหิต โรคหัวใจ เช่น หัวใจโต กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย
- ทางเดินอาหาร ไขมันเกาะตับ นิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งตับ มะเร็งถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้
- ทางเดินปัสสาวะ ปัสสาวะติดเชื้อบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่ได้
- ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ถุงน้ำรังไข่ ประจำเดือนผิดปกติ ภาวะมีบุตรยาก มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก
- ระบบสืบพันธุ์เพศชาย มะเร็งต่อมลูกหมาก
- กระดูกและข้อ ปวดข้อ ข้อเสื่อมก่อนวัย โดยเฉพาะข้อรองรับน้ำหนัก เช่น หลัง สะโพก เข่า ข้อเท้า
- ผิวหนัง สิว ขนดก ผิวหนังติดเชื้อ อักเสบ เป็นฝีบ่อย เชื้อรา มีกลิ่นตัว
ลดความอ้วนได้ โรคก็หายได้!
พบว่าผู้ที่มีโรคอ้วนแล้ว หากลดน้ำหนักลงได้มากพอ โรคร่วมหลายชนิดสามารถดีขึ้นจนถึงหายขาดได้ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน หลังผ่าตัดลดความอ้วนซึ่งมักทำให้น้ำหนักลงได้มากหลายสิบกิโลกรัม พบว่าผู้ป่วยกว่า 66-73% หายจากโรคเบาหวาน (ประเมินจากผลเลือดหลังผ่าตัดมีHbA1C< 6.5, FBS < 126 mg/dL โดยไม่ต้องใช้ยาเบาหวานใดๆ แม้ติดตามไปถึง 5 ปี) ลดโอกาสกลับมาเป็นเบาหวานอีก ลดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน เช่น ไตเสื่อม ฟอกไต ตามัว เท้าเบาหวาน …เพราะฉะนั้นคุณพร้อมจะโบกมือลาโรคอ้วนหรือยัง? อ้วนได้ก็ลดได้ ลดแล้วสุขภาพดี อยู่อย่างแข็งแรง มีคุณภาพชีวิตดี
วิธีลดให้ได้ผลอย่างปลอดภัย มี 3 วิธี
- การควบคุมอาหาร รับประทานไม่เกิน 800-1200 Kcal/วัน หรือใช้สูตรอาหารที่เป็นที่ยอมรับอย่างถูกวิธี เช่น Atkins, Low carbohydrate, Intermittent fasting, Mediterranean diet
- การออกกำลังกาย ความแรงระดับปานกลาง, ให้หัวใจเต้นเร็วระดับสลายไขมัน (zone 2 ขึ้นไป, หรือ 60-80% ของ Maximal heartrate) เป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน จำนวนอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์
ทั้งสองวิธีสามารถลดน้ำหนักได้วิธีละประมาณ 6-9 % ของน้ำหนักตั้งต้น เฉลี่ยลดได้สัปดาห์ละ 0.5-1 กิโลกรัม หากทำร่วมกันสามารถลดได้มากขึ้นเป็นสองเท่า แต่ต้องอาศัยวินัยอย่างมาก คนน้ำหนักยิ่งมากยิ่งมีโอกาสล้มเหลวสูง ผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัวควรรับการตรวจความพร้อมร่างกายจากแพทย์ก่อนเริ่มลดน้ำหนักเอง ป้องกันเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หัวใจวาย ลิ่มเลือดอุดตัน Stroke ฯลฯ
- การผ่าตัดลดน้ำหนัก ส่งผลลดฮอร์โมนทำให้อยากอาหารน้อยลง ลดขนาดกระเพาะทำให้รับประทานปริมาณน้อยก็รู้สึกอิ่ม ร่างกายดูดซึมอาหารที่ทานเข้าไปน้อยลง จึงทำให้ลดได้มากและเร็ว เฉลี่ยสุดท้ายมักลดได้ถึง18-40% ของน้ำหนักตั้งต้น ได้ผลดีในผู้ป่วยBMIสูงมากที่พยายามลดด้วยสองวิธีแรกแล้วไม่ได้ผล หรือมีโรคร่วมแล้ว จำเป็นต้องรีบลดน้ำหนัก นอกจากนี้พบว่าการผ่าตัดช่วยให้สามารถควบคุมการรับประทานอาหารได้ง่ายขึ้น ผลการลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้จึงยั่งยืนที่สุดในทุกวิธี แต่การผ่าตัดก็มีความเสี่ยง และมีค่าใช้จ่ายสูง
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาด เมื่อต้องการลดน้ำหนัก
การซื้อยาลดน้ำหนักมาใช้เอง ยาลดน้ำหนักมีกลไกโดยเปลี่ยนแปลงการทำงานร่างกายเฉพาะจุด ซึ่งแน่นอนว่ามีผลข้างเคียงต่อระบบที่เกี่ยวข้อง การใช้ยาลดความอ้วนที่ถูกต้องนั้น ณ ปัจจุบันต้องอยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น มีข้อบ่งชี้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในผู้ป่วยเฉพาะกลุ่ม เช่น ก่อนผ่าตัด โรคร่วมรุนแรงขั้นวิกฤต น้ำหนักหลังเลิกใช้ยาอาจขึ้นอีกจนมากกว่าน้ำหนักตั้งต้น หรือ “Yoyo effect” ยาที่มีความปลอดภัยทางการแพทย์มีเพียงไม่กี่ชนิดและไม่อนุญาตให้ขายทั่วไป จึงสามารถกล่าวได้ว่ายาที่อ้างว่าลดความอ้วนได้ที่จำหน่ายแก่ผู้บริโภคโดยตรงขณะนี้ทุกชนิด ขาดหลักฐานความปลอดภัย และอาจส่งผลกระทบรุนแรงถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
ไม่ว่าเลือกวิธีใดก็ตาม จะสำเร็จได้ต้องอาศัยความรู้จริงในวิธีที่เลือก แรงจูงใจ ความตั้งใจ วินัยการดูแลตนเอง การสนับสนุนจากคนรอบข้าง และเมื่อลดน้ำหนักได้ตามเกณฑ์ที่ตั้งใจแล้ว สิ่งที่สำคัญอันดับต่อไป คือ การควบคุมน้ำหนักไม่ให้ขึ้นใหม่ ด้วยการเลือกใช้ชีวิต ปรับนิสัยและวิถีชีวิตใหม่ การมีทีมสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญสหสาขาโดยเฉพาะนักกำหนดอาหาร และนักกายภาพบำบัดนั้นจะช่วยให้สามารถลดน้ำหนักง่ายขึ้น มากขึ้น ปลอดภัยขึ้น คุมน้ำหนักได้ดีขึ้นในระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท 3