“แผลในช่องปาก” แบบไหนผิดปกติ เสี่ยงเป็นสัญญาณโรคอันตราย
“แผลในปาก” เชื่อเหลือเกินว่าคนส่วนใหญ่จะคิดถึง “ร้อนใน” เป็นอันดับแรก ๆ แต่ความจริงแล้ว อาจเป็นอาการแสดงของโรคอื่น ๆ ที่เสี่ยงเป็นอันตรายได้มากกว่านั่นเอง
แผลในปาก นั้นมีสาเหตุเกิดได้จากหลาย ๆ ปัจจัย และลักษณะของอาการก็แตกต่างกันไปเช่นกัน เพื่อให้เราสามารถประเมินความเสี่ยงและรู้เท่าทันอาการแผลในปากของตัวเองได้ว่าอันตรายรุนแรงแค่ไหน จากนี้ไปคือ 4 กลุ่มอาการแผลในปากที่พบได้บ่อยมากที่สุด เพราะ แผลในปากอาจไม่ได้หมายถึง “ร้อนใน” เสมอไปและ สัญญาณเตือนภัยของโรคอื่น ๆ ที่อันตรายและเรื้อรังมากกว่าที่คิด

- แผลกัดปากตัวเอง เช่น เผลอกัดปากตัวเองขณะรับประทานอาหาร หรือแผลที่เกิดจากการใส่เหล็กดัดฟัน จะมีลักษณะเป็นแผลสีขาว คล้ายกับคราบหนอง ช่วงเริ่มต้นเมื่อเกิดแผลจะเป็นจุดสีแดงก่อน แล้วจึงค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวจาง ๆ หรือสีเทา
- แผลร้อนใน หรือ Aphthous Ulcers เป็นแผลในปากที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคล อาจเป็นผลมาจากกรรมพันธุ์ ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน แต่มักเกิดขึ้นเวลาที่เรานอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือรับประทานอาหารเมนูของทอดปริมาณมาก ๆ ลักษณะอาการจะเป็นแผลตั้งแต่จุดเดียวหรือหลายจุดร่วมกันก็ได้
- เริม หรือ Herpes Simplex เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่เกิดจากเชื้อไวรัส HSV-1 หรือ HSV-2 ทำให้มีแผลที่บริเวณช่องปากเป็นจุดใดจุดหนึ่ง แต่จะไม่กระจายตัวทั่วทั้งปาก
- แผลในปากที่เกิดจากการแพ้ ซึ่งสามารถแพ้ได้ทั้งจากอาหาร หรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในช่องปาก เช่น ลิปสติก ยาสีฟัน หรือผลไม้บางชนิดที่ได้รับการพ่นสารเคมี ในช่วงเริ่มแรกของอาการแพ้จะมีรอยแดงเกิดขึ้นที่ปาก หรือบางรายจะเป็นถุงน้ำแตกออก และตามด้วยการมีแผลสีขาวเป็นปื้น ในคนไข้ที่มีอาการรุนแรงอาจพบว่ามีเลือดออกด้วย
แผลในปากแบบไหนเป็นโรคอันตราย
ลักษณะของแผลในปากที่พบได้บ่อยนั้นค่อนข้างมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน จึงอาจทำให้หลายคนสับสนแยกไม่ออกว่าเป็นแผลในปากที่อันตรายแค่ไหน แนวทางในการพิจารณาแผลในปากว่าควรต้องรีบไปพบแพทย์หรือไม่นั้น สามารถสังเกตได้จาก 3 สิ่งสำคัญดังต่อไปนี้
- ปริมาณแผลในปาก หากมีจำนวนแผลในปากมากกว่า 1 จุด ถือว่าไม่น่าไว้วางใจ
- ขนาดของแผลในปาก หากใหญ่มากกว่า 5 มิลลิเมตรขึ้นไป ถือว่ามีความเสี่ยงที่ควรต้องกังวล
- ระยะเวลาในการมีแผลในปาก หากไม่หายหรือไม่ทุเลาลงภายใน 1 สัปดาห์ หรือมีอาการรุนแรงมากขึ้น ถือว่ามีความเสี่ยงที่ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้
หากแผลในปากที่เกิดขึ้นเข้าลักษณะทั้ง 3 อย่างรวมกัน ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นสัญญาณเตือนของโรคอันตราย อาทิ โรคมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรค SLE หรือโรคพุ่มพวง โรคเอดส์ โรคเบเช็ท (BehÇet’s disease) เป็นต้น ซึ่งทุกโรคนั้นล้วนเป็นโรคอันตราย ที่ควรต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะยิ่งปล่อยทิ้งไว้นานวัน ก็จะยิ่งเสี่ยงเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ใครบ้างเสี่ยงเป็นแผลในปากได้มากกว่าปกติ
พฤติกรรมในการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิต ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีความเสี่ยงเกิดแผลในปากได้ โดยกลุ่มคนที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นแผลในปากนั้น ได้แก่ กลุ่มคนที่ชอบรับประทานอาหารดิบ ๆ ชอบรับประทานอาหารรสเผ็ดจัด หรือว่าร้อนจัด โดยเมนูที่เสี่ยงทำให้เกิดแผลในปากได้ง่าย ก็เช่น ส้มตำที่ใส่พริกเยอะ ๆ หมาล่า น้ำพริก เมนูปิ้งย่าง และเมนูหมักดองต่าง ๆ ที่อาจมีความเสี่ยงในการปนเปื้อนสารพิษหรือมีเชื้อโรคเจือปน
นอกจากนั้นแล้ว ในกลุ่มคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่เป็นประจำ ก็มีความเสี่ยงเป็นแผลในปากได้สูงมากกว่าคนทั่วไป แม้จะเป็นบุหรี่ไฟฟ้า ก็ถือว่าอันตรายไม่แพ้บุหรี่ธรรมดา หรือถึงจะไม่มีกลิ่นเหม็นเหมือนบุหรี่ทั่วไป แต่ก็มีสารนิโคติน ที่เป็นสารก่อมะเร็ง และมีผลทำให้เกิดแผลในปากได้เช่นกัน
แนวทางในการรักษาแผลในปาก
แพทย์จะให้ยาลดอักเสบ ซึ่งจะเป็นยาป้ายเฉพาะที่ หรืออาจใช้กรดไทรคลอโรอะซีติค (Trichloroacetic acid : TCA) เพื่อรักษาแผลร้อนใน ร่วมกันกับการใช้ยาพ่นลดการอักเสบในช่องปาก โดยให้ยาต่อเนื่องจนกว่าแผลจะหาย ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ระยะเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ ในคนไข้รายที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อ ก็จะให้ยาฆ่าเชื้อและยาลดปวดเพิ่มเติม ซึ่งมีทั้งที่เป็นยารับประทานและแบบพ่นสเปรย์ ทั้งนี้ หากได้รับยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ไม่หายใน 2 สัปดาห์ และมีแนวโน้มอาการแย่ลงใน 1 สัปดาห์ อาจต้องพิจารณาทำ Biopsy ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเพื่อวินิจฉัยแยกโรคเพิ่มเติม เพราะอาจมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้
ป้องกันแผลในปาก
เราทุกคนสามารถป้องกันแผลในปาก ไม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเองและคนที่รักในครอบครัวได้ง่าย ๆ ด้วยการให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาความสะอาดในช่องปาก หมั่นสำรวจตรวจดูสภาพช่องปากตัวเองเป็นประจำว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ในการแปรงฟันก็ควรแปรงอย่างถูกวิธี ระมัดระวังไม่ให้เกิดการกระแทกที่อาจทำให้เกิดแผลในปากได้ นอกจากนั้นแล้ว ก็ควรเลือกรับประทานอาหารที่สะอาด ปลอดภัย หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและร้อนจัด หากทำได้ตามนี้ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดแผลในปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แผลในปาก ป้องกันไม่ยาก อย่างที่คิด แค่หมั่นสังเกต ความผิดปกติ ต้องสงสัย หากสำรวจพบ แผลเรื้อรัง คล้ายร้อนใน อย่าย่ามใจ ถ้าไม่หาย ในหนึ่งสัปดาห์ ดูแลความสะอาด ในช่องปาก อย่างเคร่งครัด เร่งปฏิวัติ เรื่องการกิน เสี่ยงก่อปัญหา อาหารรสจัด เครื่องดื่มร้อนจัด ต้องบอกลา รีบหันกลับมา สร้างเกราะคุ้มกัน ช่องปากสมบูรณ์
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท 3