ไขมันในเลือดสูง ทำเสี่ยงโรคหลอดเลือดตีบตัน
ไขมันต่างชนิดส่งผลต่อสุขภาพต่างกัน ซึ่งหากมีชนิดตัวไม่ดีมากเกินส่งผลให้เกิดโรคต่างๆในร่างกายได้
ปัจจุบันคนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพและอาหารการกินกันมากขึ้น หลายคนพยายามเลี่ยงอาหารจังก์ฟู้ดที่มีไขมันสูง ซึ่งหากรับประทานบ่อยๆ จะทำให้มี “คอเลสเตอรอลในเลือดสูง” ตามมา และอาจเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง
ภาวะไขมันในเลือดสูง คืออะไร?
ภาวะไขมันในเลือดสูง คือภาวะที่ร่างกายมีระดับไขมันในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ปกติ
กินผิด ชีวิตติด "เบาหวาน" แนะวิธีห่างไกลโรคเรื้อรัง
ส่อง 8 โรคแทรกซ้อนที่ซ่อนใน "ความอ้วน"
โควิดวันนี้ (9พ.ค.65) ยอดติดเชื้อลดต่ำกว่า 7 พันราย ปอดอักเสบ 1,522 ราย
โดยอาจมีความผิดปกติทั้งไขมัน “คอเลสเตอรอล” และ “ไตรกลีเซอไรด์” ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด เส้นเลือดตีบ อุดตัน โรคหลอดเลือดสมอง หรือเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้ไม่มีดีพอ รวมถึงความดันโลหิตสูงได้
ชนิดของไขมันในเลือด
หลายคนคงคุ้นเคยกับคำว่า “คอเลสเตอรอล” และ “ไตรกลีเซอไรด์” ซึ่งเป็นไขมันที่พบอยู่เป็นปกติในร่างกาย... แต่วันนี้ เราจะมาดูกันว่า ไขมันทั้ง 2 ชนิดนี้ มีบทบาทสำคัญอย่างไรกับ “โรคไขมันในเลือดสูง”
1.คอเลสเตอรอล (Cholesterol)
เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เองจากตับและลำไส้ พบมากในไขมันจากสัตว์ คอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย แต่หากมีมากเกินไปก็ส่งผลเสียได้เช่นกัน โดยคอเลสเตอรอลที่สำคัญ มีอยู่ 2 ชนิด คือ
- เอชดีแอล (Hight density lipoprotein - HDL) มีหน้าที่นำคอเลสเตอรอล และกรดไขมันจากส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไปช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันเลวเข้าไปสะสมในหลอดเลือดแดง การมีคอเลสเตอรอลชนิด HDL สูงจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันได้ HDL ในระดับปกติ ผู้ชายต้องมากกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ส่วนในผู้หญิงต้องมากกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- แอลดีแอล (Low density lipoprotein-LDL) ทำหน้าที่เป็นตัวนำพาไขมัน คอเลสเตอรอล ไปใช้ยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย หากมีไขมันชนิดนี้ในเลือดสูงเกินไป จะเกิดการสะสมที่ผนังหลอดเลือด หลอดเลือดจะตีบแคบลง หลอดเลือดเปราะ ทำให้การไหลเวียนเลือดไม่สะดวก จึงเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดตีบตัน LDL ในระดับปกติทั้งผู้ชายและผู้หญิง ไม่ควรเกิน 100-130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
2.ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)
เป็นไขมันชนิดหนึ่ง เกิดจากน้ำตาลและแป้ง หรือจากอาหารอื่นๆ ที่ช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้องนาน ร่างกายจะเก็บสะสมไตรกลีเซอร์ไรด์ไว้เป็นพลังงาน แต่หากมีไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูง โอกาสเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบก็มีมากขึ้น ไตรกลีเซอร์ไรด์ในระดับปกติ ไม่ควรเกิน 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
เช็ก 5 สัญญาณเตือนที่บ่งบอกอาการเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ
ปัจจัยเสี่ยง ไขมันในเลือดสูง
- ความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ทำให้มีความบกพร่องในการเผาผลาญไขมัน
- ปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคไต ภาวะขาดไทรอยด์ ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
- ผลจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ สเตียรอยด์
- การรับประทานอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ จำพวกอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ไขมันสัตว์ เครื่องในสัตว์ เนย ไข่ เป็นต้น
- มีภาวะเครียด และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
วิธีรักษาไขมันในเลือดสูง เริ่มจากการปรับพฤติกรรม
หลักการรักษาภาวะไขมันในเลือดสูง จะคำนึงถึงการลดปัจจัยเสี่ยงที่มี ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อันส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา
- หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีคอเลสเตอรอล ไขมันอิ่มตัวสูง และมีน้ำตาลสูง เช่น ของทอด เนื้อสัตว์ติดมัน เนย เค้ก เครื่องในสัตว์
- เน้นการบริโภคอาหารประเภท ผัก ผลไม้ ธัญพืช และแหล่งโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ จำพวกผลิตภัณฑ์จากนมไขมันต่ำ เนื้อสัตว์ปีกไขมันต่ำ (ไม่กินหนัง) ปลา และถั่ว
- ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ควรควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอให้ได้อย่างน้อย 3-4 ครั้ง/สัปดาห์ แต่ละครั้งประมาณ 40 นาทีขึ้นไป
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ช่วยให้ระดับคอเลสเตอรอลลดลงอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน แต่ในบางรายอาจต้องใช้ยาควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้ต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์เท่านั้น
การป้องกัน...การเกิดโรคไขมันในเลือดสูง
การป้องกันการเกิดโรคไขมันในเลือดสูง คือการที่เราต้องรู้ว่า ไขมันในเลือดของเรานั้นอยู่ในระดับใด และมีไขมันแต่ละชนิดมากน้อยเพียงใด เพราะไม่ใช่ไขมันทุกชนิดที่จะเป็นโทษต่อร่างกาย ฉะนั้น “การตรวจสุขภาพ” เพื่อให้ทราบปริมาณไขมันแต่ละชนิดอย่างสม่ำเสมอ คือสิ่งจำเป็น
- หากมีอายุมากกว่า 35 ปี ควรตรวจเลือดเพื่อวัดระดับไขมันทุกๆ 1-2 ปี
- หากครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ควรตรวจเลือดทุกๆ 6 เดือน
ทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราเอง หากเราใส่ใจสุขภาพและรู้จักป้องกันความเสี่ยง โอกาสที่จะเกิดโรคก็ลดลง ทำให้มีความสุขในการใช้ชีวิตได้อย่างยาวนานขึ้นได้
ขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก โรงพยาบาลพญาไท
อย่าลืม “Cool Down” หลังออกกำลังกายช่วยปรับสภาพให้สู่ภาวะปกติ