ยา วิตามิน อาหารเสริม รู้ชัดตัวไหน "ควร - ไม่ควร" กินคู่กัน
ยา วิตามิน อาหารเสริม บางชนิดไม่ควรรับประทานคู่กัน เพราะอาจทำให้เกิดโทษได้ การรู้เท่าทันช่วยให้ป้องกันอาการเจ็บป่วยได้
สมุนไพรคือจุดกำเนิดของพืชที่นำมาใช้ทางยาเพื่อรักษาอาการต่างๆ เมื่อหลายพันปีก่อน โดยในปัจจุบันความนิยมของการใช้ยาสมุนไพรยังคงแพร่หลาย หลายคนมีความเชื่อว่าสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ผลิตมาจากธรรมชาตินั้นมีประสิทธิภาพที่ดีและมีความปลอดภัยมากกว่ายาแผนปัจจุบัน
ปัญหาที่เกิดจากการใช้สมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เช่น รับประทานเกินขนาดหรือต่อเนื่องเกินไปจนส่งผลเสียต่อตับ รวมถึงผลข้างเคียงอื่นๆ ที่เกิดจากการใช้สมุนไพรที่ไม่ถูกวิธี
"วิตามิน" ตัวช่วยเสริมแกร่งร่างกาย กินเยอะไปอาจทำอันตรายต่อ "ตับ"
"วิตามินเสริม" จำเป็นต่อร่างกายแค่ไหน ทำไมใครๆ ก็กิน
ซึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือ อาการไม่พึงประสงค์ของผู้ที่รับประทานสมุนไพรร่วมกับยาที่ใช้ในการรักษาโรคประจำตัวหรือยาแผนปัจจุบันบางประเภท ซึ่งบางครั้งก็อาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดังนั้น ก่อนที่จะรับประทานยา วิตามิน สมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆ ร่วมกัน จึงควรศึกษาให้ดีก่อน ว่าแต่ละอย่างมีสรรพคุณอย่างไร ถ้ารับประทานร่วมกันแล้วจะก่อให้ประโยชน์หรือโทษอย่างไรบ้าง
เสริมแกร่งร่างกาย ด้วย 7 วิตามินสร้างภูมิคุ้มกันต้านโควิด-19
5 กลุ่ม ยา วิตามินและอาหาร ที่ไม่ควรรับประทานร่วมกัน
1.ยารักษาเบาหวานหรือ อินซูลิน (Insulin)
- ไม่ควรรับประทานกับ : มะระขี้นก ว่านหางจระเข้ โสม แมงลัก พืชตระกูลลูกซัด ผักเชียงดา และ อาหารเสริมที่มีแร่ธาตุโครเมียม (Chromium)
- อาจเกิดผลข้างเคียง : จะเสริมการออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดทำให้น้ำตาลลดลงมากเกินไป อาจเกิดอาการหัวใจเต้นเร็ว เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ สายตาพร่า เหงื่อออกมาก หิวบ่อย อ่อนเพลีย
ตอบโจทย์ของคนรักสุขภาพกับ “วิตามินเฉพาะบุคคล” (CUSTOMIZED SUPPLEMENTS)
2.Nifedipine, Felodipine (ยาลดความดันโลหิต) และ Simvastatin, Atorvastatin (ยาลดไขมันในเลือด)
- ไม่ควรรับประทานกับ : น้ำเกรปฟรุต
- อาจเกิดผลข้างเคียง : ทำให้ปริมาณยาสูงหลายเท่าในกระแสเลือด อาจส่งผลให้เกิดพิษจากยาได้
3.ยาละลายลิ่มเลือดหรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Aspirin, Warfarin)
- ไม่ควรรับประทานกับ : น้ำมันคานูล่า หรือน้ำมันดอกคำฝอย, น้ำมันปลา, น้ำมันดอกอีฟนิ่ง, ตังกุย, กระเทียม, แป๊ะก๊วย, ขิง
- อาจเกิดผลข้างเคียง : เสริมฤทธิ์ของยาทำให้เลือดออกง่ายขึ้น หากรับประทานปริมาณที่มาก (ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เช่น ปรุงในอาหารได้ตามปกติ แต่ไม่ควรรับประทานในรูปของอาหารเสริมหรือสารสกัดเข้มข้น)
อ่อนเพลีย เครียดง่าย เบื่ออาหาร อาจเพราะร่างกายขาดวิตามิน!
4.ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin
- ไม่ควรรับประทานกับ : ผักใบเขียว ยอ ชาเขียว ถั่วเหลือง บรอกโคลี และ อาหารเสริมโคเอ็นไซม์คิวเท็น (Coenzyme Q10)
- อาจเกิดผลข้างเคียง : ลดฤทธิ์ของยาหรือต้านการออกฤทธิ์ของยาทำให้ระดับยาในเลือดไม่เพียงพอต่อการรักษา
"ลืมกินยา - กินเกิน/ขาด" ปัญหาในผู้สูงอายุ คนดูแลไม่ควรมองข้าม
5.ยาปฏิชีวนะกลุ่ม fluoroquinolone เช่น ยา norfloxacin, ciprofloxacin และยาปฏิชีวนะกลุ่ม tetracycline
ไม่ควรรับประทานกับ : นม โยเกิร์ตหรือยาลดกรด ยาเคลือบกระเพาะอาหาร และแคลเซียม
อาจเกิดผลข้างเคียง : ยาสามารถเกิดสารประกอบเชิงซ้อนกับประจุบวกของธาตุแคลเซียม (ในนมและโยเกิร์ต) และแคลเซียม แมกนีเซียม อลูมิเนียม (ในยาลดกรด) ทำให้ยาดูดซึมได้ลดลง ระดับยาในเลือดไม่เพียงพอต่อการรักษา
5 กลุ่ม ยา วิตามินและอาหาร ที่ควรรับประทานร่วมกัน
ส่วนที่ละลายได้ดีในไขมัน ควรรับประทานพร้อมมื้ออาหารที่มีไขมัน และถ้าต้องรับประทานวิตามินในมื้อเดียว ให้เลือกมื้อที่ใหญ่ที่สุดของวัน หรือรับประทานครึ่งหนึ่งหลังอาหารเช้า ครึ่งหนึ่งหลังอาหารเย็นก็ได้เช่นกัน
1.วิตามินเอ ดี อี หรือเค
- ควรรับประทานหลังอาหารมื้อใหญ่หรือมื้อที่มีไขมันจากสัตว์หรือจากพืช หรืออาหารเสริมกลุ่มน้ำมันปลา เพราะช่วยให้วิตามินดูดซึมได้ดีในร่างกาย
2.ธาตุเหล็ก
- ควรรับประทานกับวิตามินซี หรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เพราะช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น
คนอายุ 30+ ควรทานวิตามินเสริมหรือเปล่า?
3.แคลเซียม
- ควรรับประทานกับวิตามินดี หรืออาหารที่อุดมด้วยวิตามินดี เช่น เห็ด นม ปลา ชีส เพราะช่วยให้แคลเซียมดูดซึมได้ดีขึ้นในลำไส้เล็ก
4.คอลลาเจนเปปไทด์ ชนิดโมเลกุลเล็ก
- ควรรับประทานกับวิตามินซี เพราะช่วยเสริมการทำงานของกันและกันในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวพรรณ
5.โคเอนไซม์คิวเท็น
- ควรรับประทานกับหลังอาหารมื้อใหญ่หรือมื้อที่มีไขมันจากสัตว์หรือจากพืช เพราะช่วยให้โคเอนไซม์คิวเท็นดูดซึมได้ดีในร่างกาย
รู้จักชนิด "วิตามินซี" กินให้ถูกต้องได้ประโยชน์สูงสุด
ยา วิตามิน สมุนไพร และอาหารเสริมจึงเปรียบเสมือนดาบสองคม หากรับประทานร่วมกันโดยไม่ได้ระมัดระวังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆ โดยไม่รู้ตัว ในปัจจุบัน เราสามารถตรวจระดับวิตามินแร่ธาตุในร่างกายได้โดยการเจาะเลือด เพื่อค้นหาวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการจริง นำไปสู่การเลือกรับประทานอาหารหรืออาหารเสริมในแบบเฉพาะบุคคล
ขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก โรงพยาบาลสมิติเวช