“น้ำมันตับปลา” วิตามินสูง กินให้ได้ประโยชน์สูงสุด-ไม่เกิดโรคแทรกซ้อน
“น้ำมันตับปลา” วิตามินและอาหารเสริมยอดนิยม อุดมด้วยวิตามินเอและดี มีกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 มีประโยชน์อย่างไร แตกต่างอะไรกับน้ำมันปลาทะเล?
น้ำมันตับปลา (cod liver oil) คือน้ำมันที่สกัดมาจากตับปลา ส่วนใหญ่เป็นปลาทะเล อย่างปลาค็อด ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของวิตามิน เอ และวิตามิน ดี ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน อีกทั้งยังมีกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 ได้แก่ กรดโดโคซาเฮกซะอีโนอิก (Docosahexaenoic Acid: DHA) และกรดไอโคซาเพนตะอีโนอิก (Eicosapentaenoic Acid: EPA)
น้ำมันตับปลาต่างจากน้ำมันปลาทะเลอย่างไร ?
- น้ำมันตับปลาเป็นน้ำมันที่สกัดจากตับปลา โดยตับเป็นแหล่งสะสมของวิตามินเอ และวิตามินดี
“วิตามิน” กินมากไปเสี่ยงตับทำงานหนัก แนะปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน
ความลับวิตามิน B เสริมสร้างภูมิต้านทานบำรุงประสาทและสมอง
- น้ำมันปลาทะเล หรือบางคนเรียกสั้นๆ ว่า น้ำมันปลา หรือ fish oilนั้นสกัดมาจากปลาทะเลปลาที่ใช้สกัดมักเป็นปลาทะเลน้ำลึก น้ำมันปลาทะเลมีกรดไขมันหลายชนิด แต่กรดไขมันที่มีมากในน้ำมันปลาทะเลคือ กรด DHA ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวสายยาวในกลุ่มโอเมก้า 3
คุณประโยชน์ของ “น้ำมันตับปลา”
- วิตามินเอ ช่วยในการสร้างเยื่อบุผิวปกติและกระดูกสร้างภูมิต้านทาน ช่วยให้มองเห็นในที่มืดหรือที่มีแสงสลัว ในภาวะที่ขาดวิตามินเอ ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงทางผิวหนังและเยื่อบุตา โดยอาการจะเริ่มต้นที่ตา ได้แก่ อาการตาบอดกลางคืน (night blindness) เสี่ยงตาบอดได้
- วิตามินดี นั้นมีบทบาทสําคัญในการช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสจากอาหารผ่านเยื่อบุลําไส้เข้าสู่ร่างกายเพิ่มการดูดซึมกลับของแคลเซียมและฟอสฟอรัสจึงมีความสําคัญต่อการสร้างกระดูกให้เป็นไปอย่างปกติ ในเด็กที่ขาดวิตามิน ดี จะเกิดภาวะกระดูกอ่อน ซึ่งในเด็ก เรียกว่า โรคกระดูกอ่อน (rickets) และในผู้ใหญ่ เรียกว่าภาวะ osteomalacia
น้ำมันตับปลาส่งผลให้คอเลสเตอรอลสูงจริงหรือไม่?
คําตอบคือ น้ำมันตับปลามีปริมาณวิตามินเอ และวิตามินดี สูง วิตามินทั้งสองตัวนี้เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จึงมีโอกาสที่จะถูกสะสมจนถึงระดับที่เป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะเมื่อบริโภคพร้อมกับยาอื่น อีกทั้งตับเป็นแหล่งที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง กินมากเกินไปทําให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงได้
สมุนไพร-วิตามิน กินมาก-กินนาน ไม่ระวังเสี่ยงตับอักเสบอันตรายถึงชีวิต
ปริมาณและข้อระวังการกินน้ำมันตับปลา
ปริมาณการใช้น้ำมันตับปลาเพื่อเสริมวิตามินเอ วิตามินดี และกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 แก่ร่างกายนั้นขึ้นอยู่กับคำแนะนำบนผลิตภัณฑ์ แต่โดยทั่วไปไม่ควรรับประทานเกิน 30 มิลลิลิตรต่อวัน ส่วนผู้ใหญ่รับประทานวันละ 1 เม็ด
- รับประทานตามฉลากหรือตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ควรรับประทานน้ำมันตับปลาพร้อมมื้ออาหารเพื่อลดการเกิดผลข้างเคียง
- หากลืมรับประทานตามเวลาที่กำหนด ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ แต่หากใกล้ถึงครั้งต่อไปแล้ว ให้ข้ามไปรับประทานครั้งต่อไป โดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณเป็น 2 เท่า
- ปิดฝาให้สนิทหลังใช้ เก็บในที่แห้งและเย็น และหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกแสงแดด
สรุปแล้วน้ำมันตับปลามีประโยชน์ต่อสุขภาพในแง่ที่ให้วิตามิน เอ และวิตามิน ดี อย่างไรก็ตาม ร่างกายจะได้รับวิตามิน เอ จากอาหารประเภทเนื้อสัตว์และผักต่างๆ เช่น ผักบุ้ง ตําลึง รวมทั้งแครอท ส่วนวิตามิน ดี นั้นก็มีมากในตับและไข่แดง เช่นเดียวกัน โดยปกติแล้ว ร่างกายสามารถสร้างวิตามิน ดี ได้ที่ผิวหนัง โดยผิวหนังที่ได้รับแสงแดด จะสร้างวิตามิน ดี ซึ่งจะถูกเปลี่ยนที่ไตและตับให้เป็นรูปแบบที่ทํางานได้
น้ำมันตับปลายังประกอบด้วยวิตามินเอและวิตามินดีในปริมาณสูง หากกินมากเกินไปอาจมีอาการคลื่นไส้หรือถ่ายเหลว และอาจสะสมในร่างกายจนเป็นอันตรายเพิ่มระดับวิตามินในเลือด จนอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน ส่วนหญิงมีครรภ์ที่ได้รับวิตามินเอในปริมาณมากอาจเสี่ยงต่อการ แท้งบุตรหรือทารกพิการแต่กำเนิด
ขอบคุณข้อมูลจาก : คณะแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดี และ pobpad
ภาพจาก : Shutterstock
กลุ่มสารอาหาร-วิตามิน แก้ “ภาวะสมองล้า” ลดเสี่ยงอัลไซเมอร์
ความลับของ “วิตามินซี” กินวันละเท่าไหร่มีผลดีต่อร่างกายมากที่สุด?