อาหารสุขภาพ
อาหารที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน ป้องกันฟันผุและลดอาการเสียวฟัน
เผยแพร่:
รู้หรือไม่? ไม่ใช่แค่เด็ก ผู้ใหญ่หลายต่อหลายคนต้องเจอกันปัญหาฟันผุ โรคเหงือกต่างๆ วิธีง่ายๆ พอๆกับการแปรงฟันแค่การเสริมอาหารที่ช่วยบำรุงฟันเข้าไปในมื้ออาหารและรู้ทันอาหารทำร้ายฟันไม่รู้ตัว
การใส่ใจสุขภาพช่องปากและฟัน แค่การแปรงฟันทุกวัน หรือพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน อาจไม่เพียงพอ ถ้ายังรับประทานอาหารที่ไม่ส่งผลดี ต่อฟันการเลือกรับประทานอาหารที่ดี มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้มีสุขภาพช่องปากที่ดี และป้องกันฟันผุได้ แต่ต้องเลือกอาหารที่มีประโยชน์ โดย หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลอย่างพร่ำเพรื่อ เพราะจุลินทรีย์ในช่องปาก จะไปย่อยอาหารพวกแป้งและน้ำตาลให้กลายเป็น กรดไปกัดกร่อนฟัน ทำให้ฟันผุ

อาหารที่ดีต่อสุขภาพฟัน
- อาหารที่มีเส้นใยสูง ได้แก่ ผักและผลไม้ บางชนิด เช่น แตงกวา ฝรั่ง มะเขือเทศ ชมพู่ มันแกว จะช่วยทำความสะอาดฟัน
- ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด ถ้าต้องการเครื่องดื่ม รสหวาน เลือกน้ำสมุนไพรอ่อนหวาน หรือผลไม้ คั้นสดแทนน้ำอัดลม เพราะน้ำอัดลมมีน้ำตาลมาก และมีกรดคาร์บอนิกอีกด้วย
- อาหารที่มีวิตามินซี (Ascorbic Acid) เช่น ผักสด ผลไม้สด ส้ม สับปะรด กะหล่ำปลี แครอท ผักคะน้า เป็นต้น ช่วยในการรักษาเหงือก ฟัน กระดูก
- อาหารมีวิตามินบี2 (Riboflavin) ประเภทถั่วลิสง ถั่วเหลือง อัลมอนด์ รำ ธัญพืช ไม่ขัดสี เห็ด มะม่วง ช่วยป้องกันมุมปากแตก ลิ้นอักเสบ
อาหารที่ควรระวังเสี่ยงทำร้ายฟัน
- ไม่ควรทานอาหารที่แข็งมาก เช่น น้ำแข็ง กระดูก อาจทำให้ฟันสึก และแตกหักได้
- อาหารจุบจิบ จะทำให้มีการตกค้างของเศษอาหารในช่องปากตลอดเวลา ช่องปากจึงมีสภาพเป็นกรด ทำลายผิวเคลือบฟัน ทำให้เกิดฟันผุ
- ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ หรือจิบน้ำบ่อยๆ เพราะถ้าปากแห้ง มีแนวโน้มที่จะมีกลิ่นปาก และมีเพราะถ้าปากแห้ง มีแนวโน้มที่จะมีกลิ่นปาก และมีฟันผุมากกว่าคนทั่วไป เพราะขณะปากแห้ง
- อาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ทำให้เกิดโรคฟันผุ และผิวเคลือบฟันถูกทำลาย
- ผลไม้รสเปรี้ยว น้ำผลไม้ หรือน้ำอัดลม ทำให้ฟันกร่อน และเกิดอาการเสียวฟันตามมา
คำแนะนำช่วยดูแลฟัน
- ควรพาเด็กมาพบทันตพทย์เพื่อให้จลฟลูออไรด์ หรือฟลูออไรด์วานิช ซึ่งป้องกันฟันผุได้ดี
- หลังรับประทานอาหารทุกครั้ง ควรแปรงฟันหรือใช้น้ำยาบ้วนปาก
- ทำความสะอาดบริวณซอกฟัน ด้วยไหมขัดฟัน อย่างน้อย 1 ครั้งก่อนนอน
- พบทันตพทย์เพื่อตรวจฟันเป็นประจำทุก 6 เดือน
ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย