รูปแบบการทำ IF กับถือศีลอด รอมฎอน Fasting และ Feeding ช่วยลดไขมัน
รอมฎอน หรือ ช่วงถือศีลอดที่ชาวมุสลิมได้ปฏิบัติตามศาสนบัญญัติ งดเว้นการกินอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิด แพทย์เผยหลักการเดียวกับ Intermittent Fasting (IF) เผยรูปแบบการอดอาหารและประโยชน์
รอมฎอน หรือช่วงถือศีลอด ช่วงที่ชาวไทยมุสลิมได้ปฏิบัติตามศาสนบัญญัติ ซึ่งตามความหมายของศาสนาของอิสลาม คือการงดเว้นการกินอาหาร เครื่องดื่มทุกชนิด รวมไปถึงงดการกระทำที่ไม่เกิดประโยชน์ หรือการกระทำที่ขัดกับคุณธรรม ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตกต่อเนื่องเป็นเวลา 1 เดือน
จากข้อมูลพบว่า การถือศีลอดยังมีความสอดคล้องกับแนวทางการดูแลสุขภาพที่ได้รับความนิยมอย่าง Intermittent Fasting (IF) ซึ่งเป็นรูปแบบการรับประทานอาหารที่จำกัดเวลาในการรับประทานอาหาร

ช่วยส่งเสริมวินัยด้านการรับประทานอาหารให้กับเราทุกคนให้รับประทานอาหารได้อย่างเป็นเวลามากขึ้น นอกจากช่วยลดการ รับประทานอาหารจุกจิกเกินความจำเป็นแล้ว ยังส่งผลดีต่อร่างกายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ช่วยในการลดน้ำหนัก ช่วยในการลดการอักเสบในร่างกาย และส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลิน ลดความเสี่ยงการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้
ชวนรู้จักการลดน้ำหนักแบบ IF
Intermittent Fasting (IF) หรือการอดอาหารเป็นช่วง ๆ เป็นวิธีลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งการลดน้ำหนักแบบ IF เป็นการกำหนดช่วงเวลาในการอดอาหาร (Fasting) และรับประทานอาหาร (Feeding) โดยไม่ได้เน้นที่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริโภคอาหาร แต่การกำหนดเวลาในการรับประทานอาหารจะทำให้ลดปริมาณการกินอาหารและลดพลังงานจากอาหารที่ได้รับ และในช่วงเวลาที่อดอาหาร (Fasting) ซึ่งฮอร์โมนดังกล่าวจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันและเพิ่มการเผาผลาญพลังงานให้สูงขึ้น โดยไม่ทำให้มวลกล้ามเนื้อลดลงเหมือนการอดอาหารอย่างต่อเนื่อง
รูปแบบการ IF
- แบบ Lean Gains หรือเรียกอีกอย่างว่าสูตร IF 16/8 การกินอาหารในช่วงเวลา 8 ชั่วโมง และอดอาหารในช่วงเวลา 16 ชั่วโมง โดยเป็นสูตรที่แนะนำสำหรับผู้ที่เริ่มทำ IF เพราะทำได้ง่าย ทำได้ต่อเนื่อง และไม่กระทบการใช้ชีวิตประจำวันมากจนเกินไป การถือศีลอดช่วงรอมฎอน สอดคล้องกับรูปแบบดังกล่าว
- แบบ Fast 5 เป็นการกินอาหารเพียง 5 ชั่วโมงและอดอาหาร 19 ชั่วโมงอย่างต่อเนื่อง
- แบบ Eat Stop Eat คือ อดอาหาร 24 ชั่วโมง 1 – 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่วนวันที่ไม่อดก็กินได้ตามปกติ แต่ต้องกินอย่างเหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
- แบบ 5:2 คือ การกินอาหารตามปกติ 5 วัน และกินอาหารแบบ Fasting 2 วัน ซึ่งเลือกทำติดกัน 2 วันหรือห่างกันก็ได้ วิธีนี้ไม่ใช่การอดอาหารทั้งวัน แต่เป็นการลดปริมาณอาหารให้น้อยลงแทน เช่น ผู้ชายสามารถกินได้ 600 แคลอรี่ ส่วนผู้หญิงกินได้ 500 แคลอรี่ หรือประมาณ 1/4 ของแคลอรี่ที่ได้รับต่อวัน
- Alternate Day Fasting เป็นการอดอาหารแบบวันเว้นวัน ซึ่งจัดว่าเป็นวิธีค่อนข้างหักโหม เพราะต้องอดอาหาร 1 วัน กินอาหาร 1 วัน แล้วกลับมาอดอีก 1 วัน แต่ทั้งนี้ก็เหมือนกับ IF สูตร 5:2 เพราะในวันที่ Fast เราสามารถกินอาหารแคลอรี่ต่ำได้ แต่ต้องกินให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ประโยชน์ของ IF
มีผลการวิจัยพบว่า การทำ IF ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ มีงานวิจัยหลายชิ้น เช่น งานวิจัยของ Harvard T.H. Chan School of Public Health ที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2017 แสดงให้เห็นว่า การอดอาหารมีแนวโน้มทำให้ชีวิตยืนยาวขึ้น โดย IF จะกระตุ้นการกลืนกินตัวเองของเซลล์ (Autophagy) ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยให้เกิดการซ่อมแซมระดับเซลล์ โดยปกติเซลล์ในร่างกายมีการสร้างใหม่และตายไปตลอดเวลา เมื่อเกิดการกลืนกินตัวเองของเซลล์จะมีการสร้างเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงมาแทนเซลล์เก่าที่เสื่อมสภาพไป
ทำ IF ควบคู่คุมอาหาร
การทำ IF เพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถทำให้น้ำหนักลดลงได้ หากยังรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงมากเกินกว่าความต้องการของร่างกาย เมื่อจำกัดเวลานานเกินไปอาจทำให้เกิดความหิวโหยและอยากอาหารมากขึ้น เมื่อถึงเวลากินอาหารอาจกินทุกอย่างที่อยากกิน ซึ่งหากขาดการควบคุมและยับยั้งชั่งใจมีความเสี่ยงที่จะทำให้กินมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ หรืออาจเกิดอาการรู้สึกผิดที่กินอาหารมากเกินไป ทำให้เกิดความเครียดได้ และหากขาดวินัยและความต่อเนื่องของการทำและขาดการออกกำลังกายก็อาจทำให้น้ำหนักไม่ลดลง
ดังนั้นจึงควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยมี โปรตีน ไขมันดี คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และผักผลไม้ที่มีวิตามิน เกลือแร่ สรุปช่วงทานได้ควรทานของที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่น้อยหรือมากจนเกินไป
อย่างไรก็ตาม IF จะเป็นวิธีที่เหมาะกับทุกคนทั่วไป ด้วยสภาพร่างกายของแต่ละคนที่มีการตอบสนองไม่เหมือนกัน จึงเกิดผลลัพธ์ได้มากมายกับสุขภาพ ควรศึกษาข้อมูลและเช็กสภาพร่างกายของตนเองก่อน ระหว่างและหลังการทำ IF นอกจากนี้ควรปรึกษาและอยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์ที่มีความชำนาญ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เพื่อช่วยวางแผนโภชนาการ ให้ถูกต้องในระยะเวลาที่เหมาะสม ขณะที่ผู้ถือศีลอดควรดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงหากพบอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ และ BDMS Wellness Clinic