“แพ้อาหาร” ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ควรเช็กให้ชัวร์ก่อนกิน
แพ้อาหารเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ ตั้งแต่เป็นผื่นตามตัว ท้องเสีย หายใจลำบาก ไปจนถึงขั้นเสียชีวิต
อาการแพ้อาหาร จะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้นการทดสอบการแพ้อาหาร (Oral Food Challenge Test) อย่างถูกวิธีกับแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันอาการแพ้อาหาร หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่แพ้ได้อย่างถูกต้อง
โรคแพ้อาหารกำลังมีอัตราเพิ่มขึ้นกับคนทั่วโลกอย่างรวดเร็ว มีข้อมูลการเข้ารักษาในโรงพยาบาลในประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ผู้คนมารักษาโรคแพ้อาหารเพิ่มขึ้น 3 เท่า
แพทย์เตือนคนชอบ“ปั้น-จก-จิ้ม” ข้าวเหนียว เสี่ยงท้องเสียง่าย ในช่วงภัยแล้ง
รู้เท่าทันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนสายเกินแก้
จากปี 2536 ถึง 2549 เช่นเดียวกับประเทศอังกฤษที่มีผู้คนเป็นโรคแพ้อาหารเพิ่มขึ้น 72% จาก 1,015 คนเป็น 1,746 คน โดยสรุปก็คือ อัตราการแพ้อาหารทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากปี 2503 ที่มีเพียง 3% ขยายตัวเป็น 7% ในปี 2561
การทดสอบการแพ้อาหาร (Oral Food Challenge Test) คือ การให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่สงสัยว่าทำให้เกิดอาการแพ้ โดยให้ผู้ป่วยลองรับประทานอาหารที่สงสัยเริ่มจากปริมาณน้อย ๆ และค่อย ๆ เพิ่มปริมาณ เพื่อดูปฏิกิริยาการแพ้ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการยืนยันการวินิจฉัยโรคที่น่าเชื่อถือมากที่สุด แต่ผู้ป่วยอาจจะเกิดปฏิกิริยาการแพ้รุนแรงได้ระหว่างที่ทำการทดสอบจึงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลโดยแพทย์เฉพาะทางภูมิแพ้และต้องทำการทดสอบในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีอุปกรณ์ ยา และเครื่องมือในการรักษาแบบครบครัน
อาหารที่มักเป็นสาเหตุการแพ้อาหาร
ไข่
ปลา
นม
ถั่วเหลือง
ถั่วลิสง
แป้งสาลีและกลูเต็น
สัตว์น้ำเปลือกแข็ง เช่น กุ้ง ปู หอย หมึก ฯลฯ
ถั่วตระกูล Tree Nuts เช่น อัลมอนด์ วอลนัท มะม่วงหิมพานต์ แมคคาเดเมีย พิสตาชิโอ ฯลฯ
ผักและผลไม้ อาจเกิดอาการแพ้ที่ริมฝีปากและในลำคอ
ข่าวจริง! "สารอะฟลาท็อกซิน" ที่พบในอาหารแห้ง เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์
ปฏิกิริยาอาการแพ้อาหาร (Food Allergy)
ชนิดไม่เฉียบพลัน (Non – IgE – Mediated Food Allergy) เป็นกลุ่มที่มีอาการแบบล่าช้า ค่อย ๆ ปรากฏอาการหลายชั่วโมงหรือเป็นวันหลังจากรับประทานอาหารเข้าไปแล้ว เช่น ผื่นเรื้อรัง โดยจะมีผื่นแดง คัน แห้ง ในเด็กมักจะเป็นบริเวณที่แก้มหรือข้อพับ ถ้าเป็นอาการที่ระบบทางเดินอาหาร เมื่อได้รับอาหารที่แพ้อาจถ่ายเป็นมูกเลือด อาเจียน และถ่ายเหลวรุนแรง
ชนิดเฉียบพลัน (IgE – Mediated Food Allergy) มีอาการตาบวม ปากบวม ผื่นลมพิษ หลอดลมตีบ ไอ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ปวดท้อง อาเจียน โดยอาการจะเกิดขึ้นภายใน 30 นาที – 1 ชั่วโมง หลังจากรับประทานอาหาร และมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้รุนแรงได้
ชนิดรุนแรง (Anaphylaxis) เป็นอาการแพ้ในระดับรุนแรงที่สุดและเป็นอันตรายถึงชีวิต อาการที่เกิดขึ้น ได้แก่ ผื่นแดงตามผิวหนัง ลมพิษ คัน ผิวหนังแดงหรือซีด วิงเวียนศีรษะ หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หรือท้องเสีย
วิธีทดสอบอาการแพ้อาหาร (Oral Food Challenge)
-การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Skin Prick Tests) ผู้ป่วยต้องไม่มีอาการเจ็บป่วยอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ก่อนวันที่ทำการทดสอบ และงดรับประทานยาแก้แพ้ 1 สัปดาห์ ก่อนวันที่ทำการทดสอบ เมื่อทดสอบแล้วสามารถทราบผลได้ภายใน 15 – 20 นาที
-การตรวจเลือด (Blood Test For Specific IgE) ไม่ต้องงดยาแก้แพ้ก่อนการทดสอบ เมื่อทดสอบแล้วสามารถทราบผลได้ภายใน 3 – 5 วันทำการ โดยมีทั้งผลเป็นบวกและลบ หากผลเป็นบวก แพทย์อาจให้งดหรืออาจให้ทำทดสอบด้วยการรับประทานอาหาร (Oral Food Challenge) ตามความเหมาะสม (ในกรณีที่ผู้ป่วยแพ้อยู่ก่อนแล้วและต้องการรู้ว่าหายแพ้แล้วหรือไม่) และขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ผู้ทำการรักษา แต่หากผลเป็นลบ อาจพิจารณาทำการทดสอบด้วยการรับประทานอาหาร (Oral Food Challenge)
ใครควรทดสอบการแพ้อาหาร
ผู้ที่เคยทานอาหารได้ แต่ต่อมาถูกวินิจฉัยว่าแพ้อาหาร
ผู้ที่เคยตรวจจากผลเลือดว่าแพ้อาหาร แต่ไม่มีอาการ
ผู้ที่เคยมีประวัติยืนยันว่าแพ้อาหาร แต่ต้องการรู้ว่าหายแล้วหรือยัง
ผู้ที่สงสัยว่าตนเองแพ้อาหาร แต่มีอาการแสดงไม่ชัดเจน
ข่าวจริง! "สารอะฟลาท็อกซิน" ที่พบในอาหารแห้ง เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์
อย่างไรก็ตาม การแพ้อาหารอาจเกิดจากพันธุกรรมแต่กำเนิดหรือเพิ่งเกิดขึ้นตอนโตก็เป็นได้ ดังนั้นการทดสอบการแพ้อาหารกับแพทย์เฉพาะทางเพื่อให้มั่นใจก่อนเลือกรับประทานอาหารเข้าไปในร่างกายจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการแพ้รุนแรงได้
ขอขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ