วิจัยเผย “โสดหรือมีคู่” ไม่มีเกี่ยวกับความสุข แต่ “ความรัก”จะทำให้คุณรักตัวเอง
11 เดือน 11 อีกวันหนึ่งที่ เราจะได้ช้อปปิ้งในกระเป๋าแห้ง อีกทั้งยังเป็น และเป็นวันที่คนโสด รู้จักดีด้วยเช่นกัน เพราะคือ “วันคนโสด” และอีกหนึ่งคำถามคาใจว่าสรุปแล้ว เป็นโสดที่เต็มไปด้วยอิสระ กับ การมีคู่ อันไหนดีและมีความสุขมากกว่ากัน ?
ในวัน 11 พฤศจิกายน หรือ 11.11 คนมีคู่อาจไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่ แต่คนโสดอย่างเรานี้สิ เฮ้อ ... วันอะไรกันเนี้ย จะตอกย้ำกันไปถึงไหน ใครเขาจะไปอยากมีแฟนกันเพราะอยู่คนเดียวฉันก็สวยหล่อ รวย เก่งอยู่แล้ว! (ไม่ได้พาลนะ) พูดจริงจริ๊งงงงงงงงง ซึ่งจริงๆ แล้วโสดกับไม่โสดแบบไหนดีกว่ากัน ก็คล้าย ปัญหาโลกแตก ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน เพราะคนมีคู่เขาก็จะโลกสีชมพูแบบโน สนโนแคร์มีความสุขแบบแพคคู่
โอเคค่ะ เรามาว่ากัน เพราะในทางการแพทย์และงานวิจัยเอง ก็ชี้ชัดว่า จะโสดหรือมีคู่ก็ไม่ได้ทำให้ความสุขของพวกคุณลดลงเลยแม้แต่นิดนะจ๊ะ แต่ในเรื่องของสุขภาพเองก็ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนด้วยเช่นกันค่ะ
สุขภาพ คนโสด และคนมีคู่ใครดีกว่ากัน?
ต้องบอกก่อนนะคะว่า การมีสุขภาพที่ดี มีหลายปัจจัยประกอบกัน แม้ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนจากงานวิจัยหลายๆ ฉบับ แต่พบว่าการมีไลฟ์สไตล์ที่ดีจะช่วยส่งเสริมให้คนๆ นั้นให้มีความสุขได้ มีงานวิจัยสำรวจสุขภาพของชาวออสเตรเลีย 15,001 คน ทั้งชายและหญิง โดยมี 74% มีคู่แล้ว พบว่า ผู้ที่มีคู่ จะมีโอกาส
- สูบบุหรี่น้อยกว่า
- ทานอาหารฟาสต์ฟู้ดน้อยกว่า
- ดื่มแอลกอฮอล์น้อยกว่า
- แต่ในส่วนของการเลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและน้ำหนักที่เกินมาตรฐาน ไม่แตกต่างกัน
ดังนั้นจากงานวิจัยให้ข้อสรุปว่า ในมิติของการเข้าสังคม คนโสด มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่เกิดจากไลฟ์สไตล์ที่กล่าวข้างต้น มากกว่าคนที่มีคู่
ความสุขของ คนโสด และคนมีคู่ใครมีมากกว่ากัน? ความสุข ไม่มีนิยามที่ชัดเจน ส่วนมากเรามักนิยามกันว่า เป็นความพึงพอใจในชีวิต โดยมีทัศนคติเรื่องต่างๆ ในเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ ซึ่งการมีทัศนคติที่ดี ขึ้นกับประสบการณ์ในอดีต การเลี้ยงดูจากครอบครัวและโรงเรียน เพื่อนหรือคนรอบข้างที่คอยช่วยเหลือ ให้เราเป็นคนที่ยืดหยุ่นหรือปล่อยวางได้มากน้อยแตกต่างกันไป
มีงานวิจัยจากประเทศอังกฤษ พบว่า ในช่วงอายุ 45 – 65 ปี ความสุขจากการเป็นโสดในผู้หญิงสูงถึง 32% ในขณะที่หนุ่มโสดมีเพียง 19% เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ผู้หญิงจะรู้สึกละเอียดอ่อนและอ่อนไหวได้ง่ายกว่าผู้ชาย และใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อสร้างหรือรักษาความสัมพันธ์ของการครองคู่ให้ยาวนาน แต่เมื่อผ่านจุดหนึ่งไปแล้ว ความพยายามที่มากเกินไปเหล่านั้น อาจทำให้เกิดความเบื่อหน่าย หลังจากผ่านจุดนั้นไป ทำให้ความกดดันในชีวิตต่างๆ ลดลง เช่น
- ไม่ต้องทำอาหารเผื่อใคร
- ไม่ต้องคิดเผื่อใคร
- ไม่มีความกดดัน
- กลับบ้านดึกได้ไม่มีภาระใดที่ต้องกังวล
- รวมทั้งสามารถทำกิจกรรมต่างๆ หรือไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ได้
- ช่วงแรกพบ : ฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenalin) ซึ่งทำให้ใจเต้นเร็ว และหน้าแดง
- ช่วงสานสัมพันธ์ : ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและเอสโตรเจน (Testosterone & Estrogen) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายและหญิงตามลำดับ ทำให้เกิดตัณหา ราคะและความอยากที่จะมีเพศสัมพันธ์
- ช่วงผูกพัน : ฮอร์โมนออกซิโตซิน (Oxytocin) ซึ่งจากการได้กอด สัมผัสกาย หรือการมีเซ็กส์ จะทำให้สมองหลั่งออกซิโตซินมากขึ้น เราจะรู้สึกผูกพัน เข้าอกเข้าใจคู่ชีวิตมากขึ้น มีความรักเดียวใจเดียว (โดยส่วนมาก บางคู่เฉพาะช่วงโปรโมชั่น ) อาจทำให้บางคน มีอาการถึงขนาดเพ้อ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ
- ช่วงตักเติมความสุข : ฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน (Endorphin) เป็นสารเคมีที่คล้ายมอร์ฟีนช่วยลดอาการปวดเมื่อกระตุ้นด้วยความรู้สึกในแง่บวก เป็นสารเคมีที่ทำให้สมองเกิดความรู้สึกดี และเป็นสารแก้ปวดตามธรรมชาติของร่างกาย จะถูกหลั่งเมื่อมีการออกกำลังกายต่อเนื่อง มีความเครียด และหลั่งมากที่สุดตอนเมื่อถึงจุดสุดยอดจากการมีเพศสัมพันธ์
- ช่วงเรียนรู้อยู่ด้วยกัน : ฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) ในสมองและระบบประสาท เซโรโทนินมีหน้าที่ควบคุมความหิว ความอิ่ม การนอนหลับ อารมณ์ทางเพศ และความรู้สึกสุขสงบ ลดความก้าวร้าว เรามักนิยามว่าเป็นฮอร์โมน “คนพิเศษ” ทำให้เรารู้สึกเป็นคนสำคัญกับคนรัก ซึ่งหากมีมากไปอาจส่งผลให้วิตกกังวลง่าย คิดมาก มโนเก่ง อารมณ์แปรปรวน หากน้อยไป ส่งผลให้เกิดโรคซึมเศร้าได้หรือที่เหล่าหวานใจเรียกว่า “นอยด์เก่ง”
ชี้ช่องธุรกิจไหนรุ่ง"ตอบโจทย์คนเหงา" รับเศรษฐกิจคนโดดเดี่ยว (Lonely Economy )
สรุปแล้วการมีความรัก ส่งผลต่อการมีสุขภาพดีในทางอ้อม เพราะฮอร์โมนต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างมีความรัก ช่วยให้เราลดความตึงเครียดในชีวิตได้ เราไม่ได้พูดไปเองนะคะ แต่มีผลวิจัยให้ความเห็นว่า ความเครียดมีผลทำให้เกิดความสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากถึง 43% แต่จะเกิดขึ้นเฉพาะในกลุ่มคนที่เชื่อว่า ความเครียดเป็นเรื่องอันตรายเท่านั้น สำหรับกลุ่มคนที่มีระดับความเครียดสูงแต่ไม่เชื่อว่ามันจะเป็นอันตรายกลับมีโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิตน้อย นักวิจัยจึงสรุปว่า ความเครียดเป็นอันตรายกับเรา เมื่อเราคิดว่ามันอันตราย แต่ถ้าเราคิดว่า มันสามารถเกิดขึ้นและเราจัดการได้ ปรับมุมมองได้ เราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะส่งผลต่อการเสียชีวิตด้วยโรคจากความเครียดให้เราไม่สบายใจไปเปล่าๆ
ดังนั้นจะเห็นว่า ความสุขไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการเป็นโสดหรือการมีคู่ แต่ยังขึ้นกับหลายปัจจัยเกี่ยวข้องกันในตัวของบุคคลนั้นด้วย
ฉะนั้นเราเองก็ไม่ควรไปคาดหวังหรือฝากความสุข ไว้กับการมีคู่หรือไม่มีคู่ เพราะ ความสุขนั้น อาจจะอยู่กับเราแค่ประเดี๋ยวประด๋าว และอาจมีความทุกข์ซ่อนอยู่ร่ำไป ถ้าเราไม่ได้รับการตอบสนองความสุขนั้นอยู่เรื่อยๆ
วันที่ 11.11 จึงเป็นเพียงสัญญาลักษณ์ของความโสดเท่านั้นไม่ใช่วันที่ตัดสินความสุขของใคร ดูแลตัวเองและใจตัวเองไม่ผูกติดหรือยึดมั่นกับสิ่งที่ขึ้นชื่อว่า “ความโสด หรือ มีคู่” อย่างน้อยวันนี้เราอาจจะได้ของถูกจากการช้อปปิ้งในราคาพิเศษได้อีกด้วยน้า
ข้อมูลจาก : โรงพยาบาลสมิติเวช