สัญญาณโรคกลัวสังคมในเด็ก อาการ สาเหตุ แนวทางบำบัดรักษา
โรคกลัวสังคม ทำให้ผู้ป่วยกังวล กลัวถูกวิจารณ์ และหลีกเลี่ยงสังคม ส่งผลทั้งด้านจิตใจและร่างกาย แพทย์แนะส่งเสริมความมั่นใจ ฝึกสื่อสาร และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากจำเป็น
โรคกลัวสังคม หรือ โรควิตกกังวลทางสังคม (Social Anxiety Disorder) เป็นความรู้สึกกังวลเมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องพบปะผู้คน โดยกลัวว่าจะถูกผู้อื่นมองหรือตัดสินในทางลบ เช่น ตลก น่าเบื่อ อ่อนแอ ไม่เก่ง จนกระทั่งต้องหลีกเลี่ยงสถานการณ์ต่าง ๆ และส่งผลต่อชีวิตประจำวัน นอกจากด้านจิตใจแล้ว ผู้มีภาวะโรคกลัวสังคม อาจมี อาการทางกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ ตัวสั่น ใจสั่น หายใจเร็ว มีปัญหาทางสุขภาพจิตอื่นร่วม เช่น ภาวะซึมเศร้า
สาเหตุของโรคกลัวสังคม
- พันธุกรรม
- เป็นคนที่วิตกกังวลง่าย
- มีเหตุการณ์ฝังใจในอดีต
- การทำงานของสมองส่วนอารมณ์และสารสื่อประสาทผิดปกติ
รู้หรือไม่? โรคกลัวสังคม มักจะพบในเด็กซึ่งพ่อแม่อาจจะเคยสงสัยว่าทำไมลูกเราดูลักษณะกังวล และกลัวจะพูดคุยกับผู้อื่น หรือกลัวการทำกิจกรรมในที่สาธารณะ เด็กบางคนอาจมีการแยกตนเองออกจากผู้อื่น ชอบอยู่คนเดียว และเมื่อถึงวัยเข้าโรงเรียน เด็กจะเกิดความกลัวจะถูกวิจารณ์ ตำหนิ ไม่ดี และกลัวการถูกปฏิเสธ ในสถานการณ์ เช่น พูดหน้าชั้นเรียน เด็กบางคนไม่กล้าที่จะรับประทานอาหารในที่สาธารณะ เป็นต้น ซึ่งทำให้พ่อแม่เกิดความกังวลใจไม่น้อย
ลูกของคุณกำลังมีพฤติกรรมแบบนี้หรือไม่?
- กังวล ไม่กล้าทำอะไรเลย ใส่ใจกับคำพูดคำวิจารณ์ต่าง ๆ อย่างมาก กลัว ขายหน้า ไม่เป็นที่ยอมรับจากผู้อื่น
- เก็บตัว แยกตัวจากเพื่อน ไม่คุยเล่นกับเพื่อนและคุณครู
- ไม่สบตา ไม่ชอบเป็นจุดสนใจจากผู้อื่น
- กลัวเพื่อนว่า กลัวครูว่า ขี้กลัว
พ่อแม่ คือ ยารักษาโรคนี้…ที่ดีที่สุด
พ่อแม่ไม่ควรเร่งรัดในการทำกิจกรรมใดๆ ของลูก ให้เวลากับลูก และเมื่อลูกเริ่มทำกิจกรรมด้วยตนเองได้ ควรเริ่มให้คำชม ห้ามติ โดยการให้ความมั่นใจ การให้รางวัลและคำชม เพื่อเป็นแรงเสริมช่วยผลักดันให้ลูกคลายกังวล และมีความกล้ามากขึ้น
การเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก เช่น เป็นตัวอย่างในการพูดคุยกับผู้อื่นในที่สาธารณะ การซื้อของในร้านสะดวกซื้อ เพื่อเป็นตัวอย่างให้ลูกทำเองได้ การทำตัวเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็นในสถานการณ์ทางสังคมต่าง ๆ ว่าควรวางตัวอย่างไร
การรักษาโดยจิตแพทย์
- ฝึกสติให้เท่าทันความคิดของตนเอง
- ปรับมุมมองในเชิงบวกและตามความเป็นจริง
- ฝึกกำหนดลมหายใจและผ่อนคลาย
- ฝึกซ้อมการสื่อสารและการแสดงออก ไม่หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้กังวล
- ชื่นชมและให้กำลังใจตนเองในความพยายาม
- ปรับพฤติกรรม โดยสอบถามความกังวลใจของเด็กผ่านทาง พ่อแม่ เพื่อร่วมมือกันแก้ปัญหา เพื่อลดความกังวลใจของเด็กและสามารถฝึกทำเองได้ที่บ้าน และที่โรงเรียน
- พฤติกรรมบำบัด โดยให้เด็กได้เริ่มลองเผชิญกับสถานการณ์ที่กลัว และตื่นเต้น และคอยให้กำลังใจ เมื่อเด็กสามารถผ่าน เผชิญปัญหาไปได้ ก็เริมแรงด้วยคำชม การปรบมือให้กำลังใจเป็น
ทั้งนี้การให้ยาที่ลดความกังวลและความตื่นกลัวในผู้ป่วย แต่ควรปรึกษาจิตแพทย์เด็กก่อนทุกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท 2 และ กรมสุขภาพจิต