“กรุ๊ปเลือด” บ่งบอกความเสี่ยง "โรคหัวใจ-หลอดเลือด"
ผลงานวิจัยหลายชิ้นพบความสำคัญของ “กรุ๊ปเลือด” สามารถบ่งบอกความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงระดับความรุนแรงของโรคโควิด-19 ได้
ความเสี่ยงของภาวะหัวใจบางอย่าง สามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ขึ้นอยู่กับกรุ๊ปเลือดของเรา แม้เราจะไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ทุก ๆ วินาทีของทุกวันมีการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านเส้นเลือดของเรา ซึ่งจัดหมวดหมู่เลือดของเราให้อยู่ในกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดต่อไปนี้ A+, A-, B+, B-, O+, O-, AB+ และ AB-
การรู้ “กรุ๊ปเลือด” ไม่เพียงแต่มีความสำคัญในกรณีต้องเข้ารักษาพยาบาลฉุกเฉินเท่านั้น แต่ยังให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับสุขภาพของเราด้วย
เตรียมลงนามซื้อ “ไฟเซอร์ฝาแดง” ฉีดเด็กเล็ก 3 ล้านโดส ทยอยส่งมอบ ต.ค.65
1 ตุลาคมนี้ ปรับ “โควิด-19” จากโรคติดต่ออันตราย เป็น “โรคเฝ้าระวัง”
ผลการวิจัยหลายชิ้นพบความสำคัญของกรุ๊ปเลือดว่าสามารถประเมินความเสี่ยงสำหรับภาวะสุขภาพบางอย่างได้ โดยเฉพาะโรคหัวใจและหลอดเลือด
กรุ๊ปเลือดคืออะไร และแตกต่างกันอย่างไร
A, B และ O หมายถึงรูปแบบต่าง ๆ ของยีน ABO ซึ่งตั้งโปรแกรมเม็ดเซลล์เม็ดเลือดของเราแตกต่างกัน เพื่อสร้างกรุ๊ปเลือดต่าง ๆ เช่น หากคุณมีเลือดกรุ๊ป AB ร่างกายของคุณถูกตั้งโปรแกรมให้ผลิตแอนติเจน A และ B บนเซลล์เม็ดเลือดแดง คนที่มีเลือดกรุ๊ปโอจะไม่สร้างแอนติเจนใดๆ
ส่วนเลือดจะเป็น "บวก" หรือ "ลบ" ขึ้นอยู่กับว่ามีโปรตีนในเซลล์เม็ดเลือดแดงหรือไม่ ถ้าเลือดของคุณมีโปรตีน แสดงว่าคุณคือ Rhesus หรือ Rh บวก
สำหรับผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด O ถือเป็น “ผู้บริจาคทั่วไป” เพราะเลือดของพวกเขาไม่มีแอนติเจนหรือโปรตีน ซึ่งหมายความว่าร่างกายของทุกคนจะสามารถรับได้ในกรณีฉุกเฉิน
อย่างไรก็ตาม วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถไขคำตอบได้อย่างถ่องแท้ว่าสาเหตุที่คนเรามีกรุ๊ปเลือดแตกต่างกันเพราะอะไร แต่ปัจจัยต่าง ๆ เช่น บรรพบุรุษของบุคคลนั้นมาจากไหน และการติดเชื้อครั้งก่อน ๆ ที่กระตุ้นการกลายพันธุ์ในการป้องกันในเลือด อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความหลากหลาย เช่น ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือดโอสามารถเป็นอหิวาตกโรคได้ ในขณะที่ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด A หรือ B มีแนวโน้มที่จะมีปัญหาเรื่องการแข้งตัวของเลือด
กรุ๊ปเลือดโอเสี่ยงโรค “หัวใจ-ป่วยโควิดรุนแรง” น้อยกว่ากรุ๊ปอื่น
จากข้อมูลของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา (American Heart Association) เปิดเผยว่า ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด A, B หรือ AB มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจวาย หรือหัวใจล้มเหลวมากกว่าคนที่มีกรุ๊ปเลือด O
แม้ว่าประเภท A หรือ B มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 8% ที่จะเป็นโรคหัวใจวาย และมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเพิ่มขึ้น 10% ความแตกต่างของอัตราการแข็งตัวของเลือดจะสูงกว่ามากตาม AHA
กรุ๊ปเลือด A และ B ยังมีโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึกมากกว่า 51% และมีโอกาสเกิดเส้นเลือดอุดตันที่ปอดมากขึ้น 47% ซึ่งเป็นภาวะเลือดออกผิดปกติร้ายแรงที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลวด้วยเช่นกัน
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้ อาจเกี่ยวข้องกับการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกายของผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด A, B หรือ AB เพราะโปรตีนที่มีอยู่ในเลือดประเภท A, B และ AB สามารถทำให้เกิด “การอุดตัน” ในเส้นเลือดและหลอดเลือดแดงมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงที่จะเกิดการแข็งตัวและโรคหัวใจ
สิ่งนี้อาจอธิบายถึงความเสี่ยงในการป่วยโควิด-19 อาการน้อยในผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด O ได้ เพราะโควิด-19 ที่รุนแรงมักทำให้เกิดปัญหาหัวใจ การแข็งตัวของเลือด และปัญหาหลอดเลือดหัวใจอื่นๆ ซึ่งกรุ๊ป A,B หรือ AB จะมีแนวโน้มที่จะเป็นมากกว่า อย่างไรก็ตามข้อมูลนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด O จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและการแข็งตัวของเลือดต่ำกว่าคนกรุ๊ปเลือดอื่น ๆ แต่อาจมีความเสี่ยงต่อการตกเลือดหรือมีเลือดออกผิดปกติ โดยเฉพาะช่วงหลังคลอด มีผลการศึกษาพบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่มีเลือดกรุ๊ป O มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเลือดหลังคลอดเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด AB อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น สำหรับความบกพร่องทางสติปัญญา เช่น การจดจำปัญหา การเพ่งสมาธิ หรือการตัดสินใจ
ควรเปลี่ยนวิถีตามกรุ๊ปเลือดหรือไม่
งานวิจัยที่มีอยู่ขณะนี้ แสดงให้เห็นว่ากรุ๊ปเลือดสามารถวัดระดับความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ แต่ปัจจัยสำคัญ ๆ เช่น อาหาร การออกกำลังกาย หรือ แม้แต่ระดับมลพิษที่เราสัมผัสในชุมชน ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดหัวใจสุขภาพเช่นเดียวกัน
สำหรับใครที่อยากรักษาสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง อาจเลือกรับประทานอาหารตามกรุ๊ปเลือดเพื่อลดอาการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกายตามลักษณะทางกายภาพของแต่ละบุคคลได้ เพราะเทรนด์สุขภาพนี้อ้างว่าในอาหารที่เรากินมีโปรตีน “เลคติน” ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับหมู่เลือดจนทำให้เกิดผลเสีย หรือทำให้ภูมิคุ้มกันตก ถ้ารับประทานอาหารไม่เหมาะกับหมู่เลือด
แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่มีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันอย่างเป็นทางการ เป็นเรื่องที่เกิดมาจากงานเขียนของ Dr.Perer J.D’Adammo แพทย์ทางเลือกจากสหรัฐอเมริกา ที่เขียนหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วได้รับความนิยมจากกลุ่มคนรักสุขภาพ แต่ข้อมูลในหนังสือก็ยังเป็นที่โต้แย้งของนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งเช่นกัน
“ภาวะหัวใจล้มเหลว” ภัยเงียบ รุนแรงเฉียบพลันอันตรายถึงชีวิต
ไขข้อสงสัยควรฉีดกระตุ้นตอนนี้ หรือรอวัคซีนโควิดรุ่นใหม่
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเปาโล และ CNET