“อนุทิน”แถลงแผนคุมโควิด19 หลังยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน-ยกเลิกศบค.
อนุทิน ยืนยันแม้ลดระดับจากโรคติดต่อรุนแรง เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง สธ.ปรับแผนการรักษา เดินหน้าฉีดวัคซีนทุกปีเหมือนไข้หวัดใหญ่ ย้ำมีความพร้อมเวชภัณฑ์ดูแลประชาชนต่อเนื่อง
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารสุข พร้อมทีมผู้บริหารกรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ แถลงแผน การป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ของกระทรวงสาธารณสุข ภายหลังยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน – ยุบ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019หรือ ศบค. และปรับโควิด19 เป็นโรคเฝ้าระวัง
นายอนุทิน กล่าวว่า สืบเนื่องจากทั่วโลกกลับเข้าสู่ภาวะใกล้เคียงปกติ โดยภาพรวมมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ประเทศทั่วโลกส่วนใหญ่เริ่มกลับมาชีวิตและดำเนินกิจกรรมต่างๆเป็นปกติ
"ประวิตร" ยัน เห็นชอบ ยกเลิก พ.ร.ก ฉุกเฉิน ไม่ห่วงสถานการณ์การเมือง
"ประวิตร" ขอบคุณ ส่งท้าย หลังยุบศบค. ให้ สธ.ชงแผนคุมโควิดเข้าครม.
ขณะที่ประเทศไทยได้มีความสามารถบริการจัดการโควิดเป็นที่ยอมรับจากองค์การอนามัยโรคและนานาประเทศ และมีอัตราป่วยและเสียชีวิตที่ต่ำ ร้อยละ92 มีภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนมากกกว่า 134 ล้านโดส และบางส่วนมีภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ โดยเดือนกันยายนนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยและเสียชีวิตมีลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ และไม่มีอาการรุนแรง คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติจึงได้มีมติปรับลดโรคโควิด19 ออกจากโรคติดต่ออันตรายเหลือเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังโดยมีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคม 65 เพื่อเป็นหมุดหมายว่าต้องเดินหน้าทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น แต่ยังคงมาตราการ DMHT เช่นเดิม
โดยเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2565 ศูนย์บริหารโควิด19 หรือ ศบค. ได้มีมติเห็นชอบยกเลิก ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและข้อกำหนด ประกาศ คำสั่งที่นายกรัฐมนตรีและครม.ใช้อำนาจตาม พ.ร.กฉุกเฉิน โยมีผลวันที่ 30 กันยายน เป็นต้นไป หน่วยงานของรัฐ ทั้งฝ่ายสาธารณสุข/ฝ่ายปกครองและความมั่นคง สามารถใช้มาตราการตามกฎหมายปกติเพื่อดูแลได้
ทั้งนี้การปรับลดระดับให้โควิดกลายเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังลำดับที่ 57 เช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่,คอตีบ,บาดทะยัก ,คางตูม,โรคตาแดงจากไวรัส,ปอดอักเสบ,อีสุกอีใส อาหารเป็นพิษ ส่วนการบริหารสถานการณ์โควิดจะกลับมาอยู่ในภารกิจความรับผิดชอบของกระทรวงสาธารณสุข แต่การดูแลรักษายังฟรี โดยหากป่วยติดเชื้อให้ไปพบแพทย์ใน รพ.ตามสิทธิ์รักษา ยาจ่ายฟรีตามแนวทางรักษาและดุลยพินิจของแพทย์
ขณะที่การวัคซีนหลังจากนี้จะปรับมาฉีดวัคซีนในสถานพยาบาล ตามแต่ละคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกำหนด ฟรีตามความสมัครใจ โดยเฉพาะกลุ่ม 608 ซึ่งการจะฉีดเข็มกระตุ้นปีหน้าคาดว่า จะฉีดปีละ 1-2 ครั้ง แบบวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยตอนนี้ไทยมีวัคซีนสำรองในคลัง 42 ล้านโดส ฉีดได้อีก 6 เดือน ส่วนระบบเฝ้าระวังรายงานข้อมูลผู้ป่วย เสียชีวิตยังคงเก็บข้อมูลและรายงานต่อเนื่องตามระบบรายงานโรคปกติ นอกจากนี้หลังวันนี้ ไปจนถึงวันที่ 7 ต.ค.นี้ กระทรวงสาธารณสุข จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการเผยแพร่หลักปฏิบัติตัวของประชาชนทุกวันตามคำแนะนำของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เพื่อรับกับการอยู่กับโรคโควิด 19 ในฐานะโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง
เช่นเดียวกับการให้ยาต้านไวรัสในผู้ป่วยไม่มีอาการ อาการไม่รุนแรง อาจพิจารณาจ่ายฟ้าทะลายโจร หรือ จ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งต้องเริ่มให้เร็วที่สุด และผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง ปัจจัยเสี่ยง ให้ยาต้านไวรัส โดยยาต้านไวรัสทั้ง 3 ตัว เช่น ฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์ และเรมเดซีเวียร์ มีสำรองใช้ได้อีกหลายเดือน
มติศบค.ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีผล 30 ก.ย.ใช้ พรบ.โรคติดต่อคุมโควิด
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ที่มีอาการป่วยทางเดินหายใจแนะนำให้ปฏิบัติตนตามมาตรการ DMHT โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เมื่อต้องใกล้ชิดผู้อื่น ส่วนประชาชนทั่วไป ให้สวมหน้ากากอนามัยเมื่อเข้าไปในสถานที่แออัด หรือพื้นที่ปิด อากาศไม่ถ่ายเท เช่น โรงพยาบาล สถานที่ดูแลผู้สูงอายุ/เด็กเล็ก และให้ตรวจ ATK เมื่อมีอาการป่วย สำหรับหน่วยงาน องค์กร สถานประกอบการ ให้คัดกรองอาการป่วยของพนักงานเป็นประจำ หากมีพนักงานป่วยจำนวนมากให้รายงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที
ส่วนมาตรการดูแลรักษาผู้ป่วยจะแบ่งตามระดับความรุนแรงของอาการ
- ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือสบายดี และผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงและไม่มีปัจจัยเสี่ยง 2 กลุ่มนี้ให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) โดยให้สังเกตอาการที่บ้าน กินยาต้านไวรัสหรือยารักษาตามอาการตามที่แพทย์สั่ง ลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นด้วยมาตรการ DMHT
- ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยง หรือไม่มีปัจจัยเสี่ยงแต่มีปอดอักเสบที่ไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีอาการปอดบวมต้องรับออกซิเจน 2 กลุ่มนี้จะรักษาในสถานพยาบาลแบบผู้ป่วยใน
การคาดการณ์การณ์โควิด-19 ในปีหน้า กรมควบคุมโรคประเมิน จะมีการระบาดเป็นพื้นที่เป็นระลอกเล็กๆ เหมือนการระบาดโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งระบบสาธารณสุขมีศักยภาพรองรับได้อย่างเพียงพอ สำหรับ ความพร้อมสถานพยาบาลทั่วประเทศ สถานการณ์เตียง 73,000 เตียง ณ วันที่ 25 ก.ย. ส่วนใหญ่ร้อยละ 90 เป็นผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง ที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจมีเพียง 6% และมีอัตราการใช้เตียงลดลงต่อเนื่อง ยืนยันเตียงมีเพียงพอ และหากมีความต้องการใช้สามารถเพิ่มเตียงได้อีกเท่าตัว เช่นเดียวกับยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ มีเพียงพอรองรับสถานการณ์ได้ทุกระดับ
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขมี พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 เป็นเครื่องมือหลักในการบริหารสถานการณ์ในระยะถัดไป โดยมีกลไกทั้งระดับชาติ ระดับจังหวัด และระดับพื้นที่ ซึ่งอาจมีการปรับลดระดับความเข้มข้นของมาตรการตามสถานการณ์ เพื่อให้สังคมและเศรษฐกิจประเทศเดินหน้าต่อไปได้ นอกจากนี้ ยังจัดทำแผนปฏิบัติการควบคุมโรคโควิด 19 รองรับการเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง เป็นกรอบการดำเนินงานให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป
โควิดวันนี้ (26ก.ย.65) ยอดติดเชื้อ คร่าชีวิต ปอดอักเสบลดลง
เคาะมาตรการปรับชั้นโควิด ลดเวลากักตัว-ปล่อยเข้าประเทศไม่ต้องโชว์ ATK