รู้ก่อน 10 ปี! นวัตกรรมตรวจ “สมองเสื่อมแฝง” ชะลออัลไซเมอร์ยามสูงวัย
ภาวะสมองเสื่อมมักแอบแฝงและเมื่อเป็นแล้วจะรักษาไม่หาย วิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกัน แต่การตรวจโรคที่ผ่านมา ต่างแพงและทำให้เจ็บตัว จุฬาฯจึงเปิดตัวนวัตกรรมที่เข้ามาแก้ปัญหานี้ได้ แถมยังแม่นยำรู้ล่วงหน้าได้ 10 ปี
ประเทศไทยของเรากำลังก้าวสู่ “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” แล้ว หลังมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของคนทั้งประเทศ
และในอีก 8 ปี คาดว่าจะมีประชากรผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป มากเกินกว่า 20 % เข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่” ซึ่งเป็นลำดับขั้นสังคมผู้สูงอายุที่สูงที่สุดที่สหประชาชาติจำแนกเอาไว้
ดังนั้นในการเตรียมความพร้อมรับมือกับโครงสร้างสังคมผู้สูงอายุในระยะยาวให้มีประสิทธิภาพที่สุด “สุขภาพ” จึงสำคัญมาก เพราะสุขภาพที่ดีเป็นรากฐานสำคัญในการดำรงชีวิต
แพทย์เผยอัลไซเมอร์เพาะพิษนานถึง 15 ปี วิจัยชี้ออกกำลังกายลดเสี่ยง2เท่า
3 ระยะดำเนินโรคอัลไซเมอร์ ที่ไม่มีวันหายแต่สามารถดูแลได้อย่างเข้าใจ
แต่โรคที่มักพบในผู้สูงอายุ คือ “อัลไซเมอร์” และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำให้ผู้ป่วยช่วยตัวเองได้น้อยลงเรื่อยๆ จนไม่สามารถทำชีวิตประจำวันได้อย่างที่เคยเป็นมา ด้วยเหตุนี้เราจึงควรให้ความสำคัญกับโรคนี้ เพราะถ้าหากไม่รีบป้องกัน อุบัติการณ์ของโรคอัลไซเมอร์ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
โดยในปัจจุบันมีผู้สมองเสื่อมทั่วโลกราว 50 ล้านคน เฉพาะในประเทศไทย พบผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมประมาณ 7 แสนคน ซึ่งในจำนวนนี้ 5 แสนคนเกิดจากโรคอัลไซเมอร์
และหากไม่มีมาตรการ ทั้งส่วนบุคคลและสังคม ในการชะลอหรือป้องกันการเกิดภาวะสมองเสื่อม นักวิทยาศาสตร์คาดว่าจำนวนผู้ป่วยทั่วโลกป่วยโรคสมองเสื่อมจะเพิ่มขึ้นถึง 30 เท่าภายในสามสิบปี!
ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่รักษาไม่หาย หนทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันหรือชะลอให้เกิดช้าที่สุด โดยนายแพทย์ภูษณุ ธนาพรสังสุทธิ์ อาจารย์ประจำสาขาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ และหัวหน้าโครงการนวัตกรรมการตรวจเลือดวินิจฉันภาวะสมองเสื่อมตั้งแต่ยังไม่มีอาการ ศูนย์วิทยาศาสตร์โรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาให้คำแนะนำดังนี้
“อัลไซเมอร์” สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงวัย
ภาวะสมองเสื่อมเกิดขึ้นได้จากหลายโรค โรคที่เป็นสาเหตุสำคัญที่สุด คือ “อัลไซเมอร์” รองลงมาคือหลอดเลือดสมอง ซึ่งสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์นั้น เกิดมาจากหลายปัจจัย ทั้งพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม มลภาวะ และความเครียด
อาการสมองเสื่อมมักเกิดกับผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป และมีแนวโน้มมีโอกาสป่วยเพิ่มมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น โดย 1 ใน 16 ของผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี มีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์ ขณะที่กลุ่มผู้มีอายุ 80 ปีขึ้นไป จะมีอัตราป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 6
ภาวะสมองเสื่อมเริ่มต้นจากอาการหลง ๆ ลืม ๆ เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา เมื่อมีอาการมากขึ้น ผู้ป่วยจะช่วยตัวเองได้น้อยลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งไม่สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ด้วยตัวเองอย่างที่เคยเป็นมา ทำให้ต้องมีผู้คอยดูแลตลอดเวลา และเมื่อการดำเนินโรคมาถึงระยะท้าย ผู้ป่วยก็มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อต่าง ๆ ได้
โรคนี้เป็นฝันร้ายของคนที่ป่วยเพราะทำให้ตัวตนที่สั่งสมมาหายไป การใช้ชีวิตเป็นไปด้วยความยากลำบาก ส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างในครอบครัว
“อัลไซเมอร์” โรคร้ายที่มักแอบแฝง
โรคอัลไซเมอร์มีระยะฟักตัว 10-15 ปี ก่อนที่จะเริ่มแสดงอาการ กว่าผู้ป่วยจะรู้ตัว หลายคนก็ถึงจุดที่สูยเสียเนื้อสมองไปมากแล้ว ซึ่งตอนนั้นก็ยากที่จะฟื้นฟูหรือกู้สุขภาวะของสมองได้ ดังนั้นการตรวจอัลไซเมอร์ก่อนมีอาการจึงสำคัญมาก มี 2 วิธีการได้แก่
1.) PET Scan (Positron Emission Tomography Scan) เป็นเทคโนโลยีการตรวจโรคทางด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์ โดยใช้ภาพวินิจฉัยการทำงานของอวัยวะและเนื้อเยื่อภายในร่างกาย ค่าใช้จ่ายในการตรวจค่อนข้างแพง และใช้เวลาในการตรวจให้ครบ 2-3 วัน
2.) การเจาะน้ำไขสันหลัง เป็นการตรวจวัดระดับโปรตีนโปรตีนที่ก่อโรคอัลไซเมอร์โดยการเจาะน้ำไขสันหลัง ซึ่งในประเทศไทยต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น วิธีการนี้มีผู้เข้าถึงและเข้ารับการตรวจน้อย เนื่องจากหลายคนกลัวเจ็บจากกระบวนการเจาะน้ำไขสันหลัง
เทคนิคใหม่ค้นหา “อัลไซเมอร์แฝง” ถูกลง-ลดอาการเจ็บจากการตรวจได้ดีขึ้น
ปัจจุบันทางศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ได้ใช้เทคนิคใหม่คือ เทคนิคทางอิมมูนวิทยาหรือวิทยาภูมิคุ้มกันในการตรวจเลือดแทนการเจาะน้ำไขสันหลัง โดยใช้เครื่องตรวจที่มีชื่อว่า Simoa (Single molecule array) และเครื่อง LC-MS (Mass spectrometer) ที่จะเข้าไปตรวจวัดอัลไซเมอร์แฝง และตรวจการสูญเสียเนื้อสมอง
วิธีนี้ช่วยตอบโจทย์ทั้งในแง่ค่าใช้จ่ายที่ย่อมเยากว่า ลดความซับซ้อนและความเจ็บในการตรวจหาภาวะสมองเสื่อม และยังได้ผลตรวจที่แม่นยำด้วย โดยให้ผลการตรวจที่มีความแม่นยำถึง 88 % ใกล้เคียงกับการตรวจด้วยเทคนิคที่ใช้ในต่างประเทศ
การตรวจก็ง่ายและปลอดภัย ผู้รับการตรวจไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหารก่อนเข้ารับการเจาะเลือด ซึ่งพยาบาลหรือนักเทคนิคการแพทย์จะเจาะเลือดเพียง 10 ซีซีเท่านั้นและเป็นการตรวจเพียงครั้งเดียว ส่วนการวิเคราะห์ผลใช้เวลา 2 เดือนเท่านั้น
ดูแลตัวเอง ลดโอกาสสมองเสื่อม 40%
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเป็นภาวะสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม มลภาวะ และอายุที่มากขึ้น หากดูแลตัวเองได้ดี ลดปัจจัยเสี่ยงเสริมต่าง ๆ ก็อาจจะลดโอกาสการเกิดภาวะสมองเสื่อมได้ถึง 40% โดยสามารถดูแลตัวเองได้ดังนี้
- ดูแลสุขภาพไม่ให้เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ หรือหากเป็นแล้วก็รักษาและควบคุมโรคประจำตัวดังกล่าวให้ดี
- ผู้ที่มีอาการหูหนวก หูตึง จะทำให้สมองไม่ได้รับการกระตุ้น ส่งผลให้สมองเสื่อมได้ง่าย จึงควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษา
- ทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนช่วยป้องกันอาการสมองเสื่อม เช่น ผักและผลไม้ เนื้อสัตว์ควรเป็นอาหารทะเล และทานไขมันจากพืช เช่น น้ำมันมะกอกหรือ ถั่วชนิดต่าง ๆ ฯลฯ
- ควรงดกินของหวาน ของเค็ม และของทอด
- ไม่สูบบุหรี่
- ไม่ดื่มสุรา
- ออกกำลังกายเป็นประจำ วันละ 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายสร้างสารฟื้นฟูสมอง
อย่างไรก็ตาม นอกจากปัจจัยเสี่ยงที่แต่ละคนจะดูแลเพื่อรักษาสุขภาพกายและสมองของตัวเองได้แล้ว ยังมีมีปัจจัยเสี่ยงทางสังคมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น มลภาวะทางอากาศ โรคซึมเศร้า รวมถึงความเปล่าเปลี่ยวทางสังคมที่มาจากการใช้ชีวิตลำพังของผู้สูงวัย ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของคนในสังคมที่จะช่วยกันดูแลสภาพแวดล้อมและความสัมพันธ์ เพื่อให้เราห่างไกลโรคอัลไซเมอร์ไปด้วยกัน
“1 พ.ย.” เปิดตัวเว็บไซต์ “CaregiverThai.com” ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม