ศูนย์จีโนม เผย “EG.5.1” ยังไม่สามารถแทนที่ “XBB.1.16” ในไทยได้
ศูนย์จีโนม เผยโอมิครอน EG.5.1 เผยสถิติ โอมิครอน EG.5.1 (XBB.1.9.2.5.1) ในไทยแพร่ระบาดสูงกว่า XBB.1.16 เพียง 1 % ทำให้โอกาสที่โอมิครอน EG.5.1 จะมาแทนที่ XBB.1.16 มีน้อย แม้ทั่วโลกจะพบการระบาด สูงกว่า XBB.1.16 ประมาณ 42 % ยันแม้ EG.5.1 จะมีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้สูงกว่าแต่ ความสามารถของส่วนหนามเข้าจับกับผิวเซลล์ผู้ติดเชื้อได้น้อยกว่า
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์เฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ระบุภายหลังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เผยพบ โอมิครอน EG.5.1 (XBB.1.9.2.5.1) ในไทย โดยระบุหัวข้อว่า โควิดสายพันธุ์ดังกล่าวจะระบาดเกิดอาการรุนแรงและเข้ามาแทนที่ XBB.1.16 หรือไม่นั้น
ศูนย์จีโนม ระบุว่า จำนวนผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากโควิด-19 ในสิงคโปร์เพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าส่วนหนึ่งมาจากการระบาดขอโอมิครอน EG.5.1 ในขณะที่ประเทศไทยพบโอมิครอน EG.5.1 เพียง 6 ราย
ไทยพบโควิดสายพันธุ์ใหม่ “EG.5.1” แล้ว 5 ราย แนวโน้มทั่วโลกเพิ่ม 45%
ส่องนโยบาย 4 ชาติ รับมือ โควิด-19 พร้อมย้อนมองทิศทางไทย
เมื่อวิเคราะห์ความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) สูงกว่า XBB.1.16 เป็นเพียง 1 % ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จนถึงปัจจุบัน สรุปได้ว่าเราควรตระหนัก แต่ไม่จำเป็นต้องตระหนก
ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมามีการระบาด โอมิครอน EG.5.1 ไปทั่วโลกเป็นอันดับ 3 ใน 4 อันดับหลักคือ XBB.1.16, XBB.1.5, EG.5.1 (XBB.1.9.2.5.1), และ XBB.1.9.1
ความชุกของ โอมิครอน EG.5.1 ในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันโดยตรวจจากจำนวนรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมที่ปรากฏในฐานข้อมูลโควิดโลก จีเสส (GISAID)ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาสูงที่สุดคือ ประเทศจีน 985 ราย หรือประมาณ 7.228% จากโควิดสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่พบในประเทศจีนในอาเซียนสูงสุดคือ ประเทศสิงคโปร์ 58 ราย หรือประมาณ 1.567% จากโควิดสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่พบในประเทศสิงคโปร์ ส่วนประเทศไทยพบ 6 ราย หรือประมาณ 0.336% จากโควิดสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่พบในประเทศไทย
ทั่วโลกพบว่าโอมิครอน EG.5.1 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) สูงกว่า XBB.1.16 ประมาณ 42 %
- ประเทศจีนพบว่าโอมิครอน EG.5.1 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาดสูงกว่า XBB.1.16 ประมาณ 45 %
- ประเทศสิงคโปร์พบโอมิครอน EG.5.1 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาดสูงกว่า XBB.1.16 ถึง 77 %
- ประเทศไทยโชคดีพบโอมิครอน EG.5.1 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาดสูงกว่า XBB.1.16 เพียง 1 % ทำให้โอกาสที่โอมิครอน EG.5.1 จะมาแทนที่ XBB.1.16 มีน้อย
ความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) ประเมินจากสองปัจจัยหลักคือ ความสามารถในการติดต่อ (increased transmissibility) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสามารถของส่วนหนามของไวรัสเข้าจับกับผิวเซลล์ผู้ติดเชื้อ และความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน (evade immunity) โดยมีหลายปัจจัยที่ทำให้โอมิครอนสายพันธุ์ย่อยในแต่ละประเทศมีค่าความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาดที่แตกต่างกัน เช่น
- ประเภทของสายพันธุ์ย่อยที่แพร่ระบาดในประเทศนั้นๆ
- จำนวนตัวอย่างที่แต่ละประเทศได้ทำการถอดรหัสพันธุ์กรรมโควิด-19 ทั้งจีโนมและแชร์ไว้บนฐานข้อมูลโควิดโลก "จีเสส"
- ช่วงเวลาที่คำนวณ
- อายุเฉลี่ยของประชากร
- อัตราผู้เข้าฉีดวัคซีนครบโดส รวมทั้งการรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น
- วินัยของประชาชนในการใส่หน้ากากอนามัย กินร้อน ช้อนกลาง เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล การตรวจ ATK
- ประสิทธิภาพของบุคลากรด้านสาธารณสุขในการเข้าถึงประชากรทุกครัวเรือน
- ปัจจัยอื่นๆ ฯลฯ
โอมิครอน EG.5.1 แม้จะจะมีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้สูงกว่า XBB.1.16 แต่ ความสามารถของส่วนหนามของ EG.5.1 เข้าจับกับผิวเซลล์ผู้ติดเชื้อได้น้อยกว่า XBB.1.16 ทำให้พบว่าโอมิครอน EG.5.1 จากทั่วโลกมีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาดเฉลี่ยสูงกว่า XBB.1.16 ประมาณ 42 % หรือเพิ่มขึ้นเพียง 1.42-เท่า ในขณะที่ประเทศไทยพบโอมิครอน EG.5.1 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) สูงกว่า XBB.1.16 เพียง 1 % หรือ 1.01 เท่า
ดังนั้นจึงพอสรุปได้จากรหัสพันธุกรรมของโอมิครอน EG.5.1 ว่าในประเทศไทยการระบาดของ EG.5.1 ไม่น่าจะรุนแรงแตกต่างไปจาก XBB.1.16 อย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดีระยะนี้ควรเฝ้าติดตาม โอมิครอน EG.5.1 ของเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด เพราะในประเทศสิงคโปร์ที่มีการระบาดของ EG.5.1 มาก และพบมีผู้ติดเชื้อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น
โควิด-19 รอบสัปดาห์ ติดลดลงเหลือ 613 คน ป่วยหนัก-เสียชีวิตลดลง
จากรายงานล่าสุด จำนวนผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากโควิด-19 ในสิงคโปร์เพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 ระหว่างวันที่ 23-29 เมษายน มีผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 568 ราย โดย 15 รายถูกส่งไปยังหอผู้ป่วยหนัก (ICU) ในช่วงสี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 2 ถึง 29 เมษายน มีผู้ป่วย 47 รายเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู เพิ่มขึ้นจาก 43 รายในช่วงสามเดือนแรกของปี โดยสาธารณสุขสิงคโปร์เชื่อว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นไม่น่าจะเกินจำนวนเตียงที่โรงพยาบาลในสิงคโปร์สามารถรองรับได้
WHO จับตา“ไวรัสแลงยา"หวั่นอาจมาแทนที่โควิด-19 เผยยังไม่มีวัคซีนรักษา