โควิด-19 “โอมิครอน” อาจ "มีความรุนแรงเหมือนสายพันธุ์อื่น"
งานวิจัยใหม่ในสหรัฐฯ ชี้ “โอมิครอนแพร่กระจายได้ดีกว่า แต่รุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ” อาจเป็นความเข้าใจที่ผิด
ในการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกสายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) นี้ สมมติฐานหนึ่งจากหลาย ๆ การศึกษาทั่วโลกที่เราจดจำยึดถือกันไว้คือ “โอมิครอนแพร่กระจายเชื้อได้ดีกว่า แต่มีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ”
แต่ล่าสุด การศึกษาขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่งในสหรัฐฯ กลับได้ข้อสรุปที่ขัดแย้งกับสมมติฐานดังกล่าว โดยระบุว่า “โควิด-19 สายพันธุโอมิครอนนั้น มีความรุนแรงโดยเนื้อแท้เหมือนกับโควิด-19 สายพันธุ์ก่อนหน้านี้”
จับตาโควิด Ba.4 และ Ba.5 ทำปอดอักเสบ หนีภูมิ "ติดเชื้อ - วัคซีน" ได้
โอมิครอน “BA.2” ลามไปทั่วโลกแล้วกว่า 80% น่ากังวลขนาดไหน?
คลังแจงกู้เงินญี่ปุ่น 50,000 ล้านเยน บรรเทาโควิด-19
การศึกษานี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้รับการเผยแพร่บน Research Square เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทีมวิจัยมาจากโรงพยาบาลแมสซาชูเซตส์เจเนอรัล มหาวิทยาลัยมิเนอร์วา และโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด
ทีมวิจัยกล่าวว่า “เราพบว่า ความเสี่ยงของการต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตเกือบจะเท่ากัน ระหว่างยุคการระบาดของโอมิครอน กับช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมาซึ่งมีสายพันธุ์ที่แตกต่างกันออกไป”
ดร.อาร์จุน เวนกะเดช จากโรงเรียนแพทย์เยล ผู้ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการวิจัยนี้ กล่าวว่า การศึกษาครั้งใหม่นี้ อิงตามข้อมูลผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 130,000 รายในรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐฯ โดยให้ความเห็นว่า เป็นการศึกษาที่พิเศษและ “ค่อนข้างน่าเชื่อถือ”
เขาอธิบายว่า งานวิจัยชิ้นนี้แทนที่จะศึกษาจำนวนผู้เสียชีวิตและการรักษาในโรงพยาบาล เช่นเดียวกับการศึกษาอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ แต่งานวิจัยนี้พิจารณาสถานะการฉีดวัคซีนของผู้ป่วยและปัจจัยเสี่ยงทางการแพทย์ และเปรียบเทียบกลุ่มคนที่คล้ายคลึงกัน
โดยทีมวิจัยระบุในการศึกษาว่า การที่มีสมมติฐานว่าโอมิครอนแพร่เร็วแต่ไม่รุนแรงนั้น อาจเกิดจาก “ปัจจัยรบกวน” จำนวนหนึ่ง ที่ส่งผลให้เกิดการตีความความรุนแรงของโอมิครอนผิด เช่น วัคซีนและการรักษาใหม่ ๆ มาตรการด้านสาธารณสุข ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์การเปลี่ยนแปลงของกลุ่มเปราะบาง (เช่นกลุ่ม 608 ในไทยที่เข้าถึงวัคซีนและการรักษามากขึ้นกว่าช่วงแรก) เป็นต้น
เพื่อลดปัจจัยรบกวนในการเปรียบเทียบความรุนแรงของสายพันธุ์โอมิครอนกับสายพันธุ์อื่นก่อนหน้า ทีมวิจัยจึงได้ใช้วิธีการ Inverse Probability of Treatment Weighting (IPTW) เชื่อมโยงข้อมูลการลงทะเบียนวัคซีนทั่วทั้งรัฐแมสซาชูเซตส์และบันทึกสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ป่วยโควิด-19 ในแมสซาชูเซตส์
ซึ่งหลังผ่านกระบวนการศึกษา ทีมวิจัยพบว่า หลังจากพิจารณาปัจจัยรบกวนแล้ว สายพันธุ์โอมิครอนมีความรุนแรงพอ ๆ กับสายพันธุ์อื่นที่ระบาดก่อนหน้า
ทั้งนี้ ทีมวิจัยบอกว่า การศึกษานี้ยังมีข้อจำกัดที่อาจเกิดขึ้น เช่น ความเป็นไปได้ที่การวิเคราะห์จะประเมินจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับวัคซีนล่าสุดต่ำกว่าความเป็นจริง และจำนวนรวมของการติดเชื้อ เนื่องจากไม่ได้รวมผู้ติดเชื้อที่ทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจ ATK ที่บ้าน
เวนกะเดชบอกว่า “การศึกษายังไม่ได้กล่าวถึงการรักษาที่ผู้ป่วยอาจได้รับ เช่น โมโนโคลนอลแอนติบอดีหรือยาต้านไวรัส ที่ทราบกันดีว่าช่วยลดโอกาสการต้องเข้าโรงพยาบาล เป็นไปได้ว่า ถ้าเราไม่มีวิธีรักษาเหล่านี้ในปัจจุบัน ผลที่เกิดจากโอมิครอนอาจแย่ลงกว่านี้”
ขณะนี้ ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเริ่มพบปัญหาว่า พลเมืองของตนไม่ต้องการรับวัคซีนโควิด-19 เนื่องจากก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขหลายประเทศกล่าวว่า โควิด-19 โอมิครอนมีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้าอย่างเดลตา ซึ่งอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนมีความคิดฉีดวัคซีนโควิด-19 น้อยลง
เวนกะเดชกล่าวว่า การศึกษาใหม่นี้เป็นอีกหนึ่งหลักฐานว่า วัคซีนโควิด-19 ช่วยผู้คนจากผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดจากโอมิครอนได้ โดยบอกว่า ที่อัตราการเข้าโรงพยาบาลและการเสียชีวิตค่อนข้างต่ำในการระบาดของโอมิครอน เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ก่อนหน้า ก็เป็นเพราะวัคซีนโควิด-19
“อย่าทำผิดพลาดในการคิดว่าวัคซีนและเข็มกระตุ้นไม่สำคัญ” เขากล่าว
เรียบเรียงจาก Reuters
ภาพจาก Shutterstock