วันนี้ 9 พ.ค.2565นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. ลงพื้นที่สำรวจการทำมาค้าขายที่ตลอดสี่แยกทศกัณฐ์ และพูดคุยรับฟังปัญหากับผู้นำชุมชนย่านทวีวัฒนาและหนองแขม นายชัชชาติ ยอมรับว่า มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ยังไม่กล้าตัดสินเลือกตัวเอง เพราะไม่เชื่อว่าอิสระจริงโค้งสุดท้ายจึงเป็นต้องสื่อสารกับคนกทม.กลุ่มนี้ให้ไว้ใจให้ได้
โดยหลังจากนี้จะปรับจุดอ่อน เพราะในช่วงที่ผ่านมาพุ่งเป้าสื่อสารไปที่กลุ่มวัยรุ่น วัยทำงานในโซเชียลมีเดีย แต่ขาดการสื่อสารกับกลุ่มผู้สูงอายุ จึงทำให้คะแนนของตัวเองในกลุ่มนี้ยังน้อย
สำรวจ! รถเมล์กทม. หวังผู้ว่าฯแก้ปัญหาให้
วิเคราะห์จุดเด่นว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.
พร้อมทั้งจะเปลี่ยนการพูดถึงแนวทางการทำงาน ที่จะไม่มุ่งเน้นแค่งานเฉพาะของกทม. เช่น น้ำท่วม ลอกท่อ เก็บขยะ แต่จะเน้นการพัฒนาเมืองระยะยาวปักหมุดให้กรุงเทพฯเป็นเมืองที่มีจุดเด่น 3 ด้าน ประกอบด้วย เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค เมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเมืองท่องเที่ยวคุณภาพของโลก ซึ่งตัวเองจะทำหน้าที่เป็น CEO ของกรุงเทพฯ
อีกด้านหนึ่งวันนี้ ประกาศจุดยืนสวนทางกับนายชัชชาติสิ้นเชิง คือ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ที่บอกชัดเจนระหว่างลงพื้นที่ย่านสรงประภาว่า ตัวเองไม่ขอเป็น CEO แต่จะขอเป็นช่างคอยบริการให้คนกรุงเทพฯมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ช่วงหนึ่งนายสุชัชวีร์ ได้พูดถึงผลโพลที่ตัวเองยังเป็นรองผู้สมัครรายอื่นว่า ส่วนตัวไม่เชื่อทั้งหมด เพราะมั่นใจกระแสตอบรับจากการลงพื้นที่ พร้อมแสดงความมั่นใจว่า จะสามารถแซงเข้าวินในช่วงโค้งสุดท้ายได้อย่างแน่นอน
ตัวเต็งอีกคนที่มั่นใจกระแสตอบรับจากคนพื้นที่ คือพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง วันนี้ลงพื้นที่ย่านพระโขนง บริเวณตลาดหน้าวัดวชิรธรรมสาธิต และตลาดบางจาก โดยยังคงสื่อสารกับประชาชนว่า หากเลือกตัวเองกลับมาเป็นผู้ว่าฯกทม. กรุงเทพฯจะไม่ต้องเริ่มใหม่ และสามารถสานต่อสิ่งที่วางรากฐานไว้ได้เลย โดยระหว่างก็พยายามอธิบายให้ประชาชนเข้าใจว่า ทั้งเรื่องน้ำท่วม รถติด และการรับมือป้องกันเพลิงไหม้ ตัวเองวางระบบอะไรไว้แล้วบ้าง โดยเฉพาะการพัฒนาสถานีดับเพลิง ที่ได้ทำสถานีย่อยเพิ่มไปอีก 12 สถานีในช่วงที่ผ่านมา และสถานีใหญ่ก็ได้สร้างไปแล้วอีก 3 เขต
ส่วนความเคลื่อนไหวของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล วันนี้เดินสายหาเสียง 3 จุด จุดแรกเข้าพบปะพ่อค้าแม่ค้า ชาวบ้านที่มาเลือกซื้อของนตลาดนัดโรงงานยาสูบ จากนั้นขึ้นรถแห่ ผ่านถนนพระราม 4 เลี้ยวเข้าซอยสุขุมวิท 36 ก่อนลงรถที่ชุมชนโรงหมู แล้วเดินเท้าเข้าไปพูดคุยกับชาวบ้านในชุมชนวัดสะพาน คลองเตย
นายวิโรจน์ ระบุว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง แม้จะมีหลายคนบอกให้เปลี่ยนมาสื่อสาร เรื่องบุคลิกส่วนตัว ที่อาจมีจุดอ่อนเรื่องการประสานงาน แต่ตัวเองจะยังเน้นหนักไปที่การนำเสนอนโยบายที่จับต้องได้เป็นหลัก และชี้ให้เห็นปัญหาเชิงระบบพร้อมแนวทางแก้ไข ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้คนกทม.หันมาเทคะแนนให้
อีกด้านหนึ่งวันนี้ทีมข่าวพีพีทีวี สัมภาษณ์พิเศษอาจารย์สติธร ธนานิธิโชติ ผอ.สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า หลังอาจารย์สติธรออกมาวิเคราะห์ความเข้มข้นในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ว่า หากยึดโยงตามอุดมการณ์ทางการเมืองของการเมืองภาพใหญ่ ฐานเสียงในกทม.ของ 2 ขั้วการเมืองมีพอๆกันที่ประมาณ 1 ล้าน 2 แสนคะแนน
โดยประเมินว่า นายวิโรจน์ กับ นายชัชชาติ จะตัดคะแนนและต้องขับเคี่ยวกันเอง เพราะเป็นเรื่องยากที่คนกทม.จะตัดสินใจเลือกข้ามขั้วทางการเมือง
เช่นเดียวกับอีกขั้วการเมืองตรงข้าม ที่มีพล.ต.อ.อัศวิน กับ นายสกลธี เป็นตัวเลือก แต่ที่น่าจับตาของการเมืองขั้วนี้คือ ในช่วงโค้งสุดท้ายอาจมีแรงช่วยในการสื่อสารและเขย่าให้ชัดเจนว่า ควรเลือกใครและเทเสียงไปในทิศทางใด นั่นหมายความว่า ยังบอกได้ยากในเวลานี้ว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นไปตามโพลต่างๆที่นายชัชชาติชนะขาดหรือไม่
อาจารย์สติธร เชื่อว่า สิ่งที่ตัวเองวิเคราะห์ผู้สมัครทุกคนต่างรู้กันดี และเชื่อว่าจะต้องมีการปรับแผนกันในช่วงโค้งสุดท้าย เพราะปัจจัยชี้ขาดการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในครั้งนี้ นอกจากต้องรักษาฐานคะแนนของตัวเอง ยังต้องข้ามไปชนะใจอีกขั้วการเมืองให้ได้ ซึ่งหากเป็นไปตามที่อาจารย์สติธรวิเคราะห์ ก็สอดคล้องกับท่าทีของนายชัชชาติ ที่วันนี้เริ่มเห็นการตอกย้ำในความอิสระของตัวเอง และประกาศตัวว่าจะเป็นผู้ว่าฯของคนกทม.ทุกคน เพื่อสร้างความไว้ใจให้กับคนกทม.ที่ยังไม่มั่นใจในส่วนนี้