อดีตหน.อุทยานฯ แฉยับ! 4 กฎเหล็กเคาะกะลาเก็บส่วย

โดย PPTV Online

เผยแพร่

ทีมข่าวพีพีทีวี ได้สัมภาษณ์เปิดใจหนึ่งในพยานที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือปปป. เชิญเข้ามาให้ปากคำ พยานรายนี้ เป็นอดีตหัวหน้าอุทยานแห่งหนึ่ง ซึ่งถูกย้ายหลังนายรัชฎาเข้ามารับตำแหน่งได้ไม่นาน เขาบอกว่า ทันทีที่นายรัชฎาเข้ามารับตำแหน่ง มีการปรับเปลี่ยนระบบภายใน ผิดจากธรรมเนียมปกติของกรมอุทยานฯ

นี่ถือเป็น 1 ใน 4 กฎเหล็กของแนวทางการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกรมอุทยานฯ หลังนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา เข้ามารับตำแหน่งอธิบดี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งมาจากปากคำอดีตหัวหน้าอุทยานแห่งหนึ่ง ที่ปัจจุบันยังคงรับราชการอยู่ในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 อดีตหัวหน้าอุทยานรายนี้ เล่าว่า ทันทีที่นายรัชฎา เข้ารับตำแหน่ง มีการประกาศ 4 กฎเหล็ก ที่ไม่เคยมีมาก่อน คือ

ป.ป.ช. แจงปมกรมอุทยานฯได้ A ป้องกันทุจริต

เปิดชื่อหน่วยงานใส่ซองมอบให้อธิบดีฯ

1. หากใครทำงานไม่ตรงตำแหน่ง คือชื่ออยู่ที่หนึ่ง แต่มีคำสั่งไปช่วยราชการอีกที่ ให้ทำงานถึงแค่วันที่่ 30 กันยายน 2565

2. หากใครทำงานตรงตำแหน่งอยู่แล้ว ให้ทำงานต่อไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

3. หากทำงานไม่ตรงตำแหน่ง แล้วมีคนอื่นได้รับแต่งตั้งมาทำงานแทน ให้กลับไปต้นสังกัดเดิม

4. หากต้องกลับต้นสังกัดเดิม ให้ “ผอ.สำนัก” ออกคำสั่งหางานให้ทำ

คำสั่งเหล่านี้ อดีตหัวหน้าอุทยานรายนี้บอกว่า เหมือนเป็นการส่งสัญญาณ “เคาะกะลา” ประกาศให้ลูกน้องรู้ตัวว่าหากอยากอยู่ที่เดิมต่อ ต้องทำอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาเชื่อว่า เป็นการเปิดทางให้เกิดการจ่ายเงิน ไม่ให้ตัวเองถูกโยกย้าย และเขาเองเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่ง เพราะ 1 เดือนต่อมา มีคำสั่งแต่งตั้งให้คนอื่นมาเป็นหัวหน้าอุทยานแทน ทำให้เขาต้องกลับต้นสังกัดเดิม ซึ่งอยู่พื้นที่คนละภูมิภาคกับอุทยานที่ทำงานอยู่ ภายใน 15 วัน ไม่อย่างนั้นจะถือว่าขาดราชการ

อดีตหัวหน้าอุทยานรายนี้ เล่าอีกว่า ส่วนตัวเขาเอง ก่อนที่จะถูกสั่งกลับต้นสังกัด ไม่มีการยื่นข้อเสนอเรียกเงินใดๆ เพื่อแลกกับการไม่ต้องโยกย้าย แต่ทราบจากเพื่อนในกรมอุทยานฯ ว่าในกระบวนการเรียกเงินจะมีคนรับหน้าที่เป็น “แมวมอง” ดูว่าใครมีโอกาสรับข้อเสนอ จึงจะยื่นข้อเสนอให้ ซึ่งตัวเขาอยู่ในกลุ่มคนที่ทำงานปราบปรามจริงจัง ทำให้ “แมวมอง” ไม่กล้ามายุ่ง

เมื่อถามว่าการถูกให้ย้ายกลับต้นสังกัดเดิมเกิดผลกระทบอะไร อดีตหัวหน้าอุทยานรายนี้ เล่าว่า สำหรับเขาเป็นอุปสรรคต่อการสู้คดีรีสอร์ตรุกที่อุทยานฯ ที่เขาเป็นคนรวบรวมข้อมูลกล่าวโทษผู้กระทำความผิด จนนำมาสู่การที่อัยการสั่งฟ้องกว่า 300 คดี ระหว่างปี 64-65 เพราะตลอดปี 65 เขาได้รับหมายเรียกต้องเข้าไปให้การศาลในฐานะพยานเกือบทุกคดีที่มีการสั่งฟ้อง ทำให้ต้องเดินทางข้ามภาคไปให้การ เดือนละ 3-4 ครั้ง และจนถึงปัจจุบัน ก็ยังมีหมายเรียกไปให้การทยอยมาเรื่อยๆ

เขาเล่าว่า เมื่อมีคำสั่งให้กลับสังกัดเดิม เขาเข้าไปพูดคุย อธิบายเหตุผลกับอธิบดีฯ ว่าการย้ายอาจส่งผลต่อการขึ้นศาล กระทบคดีสำคัญที่ส่งผลต่อประเทศ แต่สุดท้ายก็ถูกย้ายกลับต้นสังกัดอยู่ดี ทำให้ได้รับผลกระทบทั้งงบประมาณที่ต้องเช่าที่พักในการไปขึ้นศาลแต่ละครั้ง การศึกษาข้อมูลเตรียมขึ้นศาล และความปลอดภัยของตนเองในการกลับเข้าพื้นที่ที่ตนเองทำให้คนจำนวนมากเสียผลประโยชน์

อดีตหัวหน้าอุทยานฯรายนี้ ยืนยันว่า การโยกย้ายตนเองไม่เป็นธรรม เกิดปัญหาทั้งต่อตัวคนถูกย้ายและเนื้องานที่ควรจะเป็น ซึ่งประเด็นนี้คือประเด็นที่จะเข้าให้ข้อมูลกับตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ส่วนเรื่องการเรียกรับเงิน ตนเองไม่ได้รับข้อเสนอโดยตรง จึงไม่สามารถให้การในประเด็นนี้ได้  

     

Bottom-BDMS Bottom-BDMS

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

PPTVHD36

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ