31 มี.ค. 67 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจราชการที่ จ.นครราชสีมา ไปยังโครงการจัดหาน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปา จากแหล่งน้ำลำตะคอง มายังที่โรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า ณ โรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า ต.บ้านใหม่ อ.เมืองนครราชสีมา ซึ่งอยู่ในความดูแลของการประปาเทศบาลนครนครราชสีมา
โครงการดังกล่าว ใช้งบประมาณ 1,962 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2568-2570 ซึ่งเทศบาลนครฯ ได้เสนอของบประมาณสนับสนุนไป 50% และอีก 50% จัดหางบประมาณมาสมทบเอง
เพื่อให้มีปริมาณน้ำเพียงพอต่อความต้องการผลิตประปาของเทศบาลนครนครราชสีมา และพื้นที่ อปท.ใกล้เคียง รวมทั้งเพื่อลดการสูญเสียน้ำในระบบท่อส่งน้ำและบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด รองรับการขยายตัวด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในพื้นที่จังหวัด และลดปัญหาความขัดแย้งของประชาชนในพื้นที่ต้นน้ำและปลายน้ำ
นายอนุทินฯ กล่าวว่า โครงการดังกล่าว ตนได้เซ็นลงนามแล้ว เพราะมีการเรียกร้องให้เร่งดำเนินการ และเห็นว่ามีประโยชน์มาก ซึ่งรัฐออกงบแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น ส่วนอีกครึ่ง เทศบาลนครฯ จัดหางบมาสมทบกันเอง เพื่อขับเคลื่อนโครงการฯ ให้เดินหน้า
ในวันนี้ ตนจึงลงพื้นที่มาดูเพื่อเร่งรัดการก่อสร้าง เนื่องจากที่ผ่านมา การก่อสร้างของกระทรวงมหาดไทยล่าช้านานเกินไป ประชาชนได้แต่รอ แต่มาในยุคนี้จะไม่เกิดขึ้น เพราะงานใดก็ตามของกระทรวงมหาดไทย ทำเพื่อประชาชน ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี
ส่วนเรื่องปัญหาการรั่วไหลของน้ำที่สูญไปอย่างเปล่าประโยชน์ ถ้าตีเป็นเงินก็มหาศาล จะให้กรมโยธาฯ มาดูว่าจะเก็บน้ำได้อย่างไร ก็ต้องช่วยกันแก้ไข และอีกเรื่องที่ขอเน้นย้ำ คือให้การประปาส่วนภูมิภาค เร่งดำเนินภารกิจที่สำคัญ
โดยใน 2 ปีนี้ ประชาชนต้องมีน้ำดื่มฟรี เราลดราคาน้ำดื่มไม่ได้ แต่เราจัดหาน้ำดื่มฟรีมาให้ประชาชนได้ รับรองว่า จะช่วยแบ่งเบาภาระประชาชนแน่นอน
สำหรับโครงการดังกล่าว เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ จะทำให้มีปริมาณน้ำดิบเพื่อผลิตประปาเพิ่มจากเดิม วันละ 45,000 ลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่รับประโยชน์ ได้แก่ เทศบาลนครนครราชสีมา อปท.รอบนอกอีก 8 อปท. และพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 รวมจำนวนครัวเรือนได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 350,000 ครัวเรือน
และทำให้มีปริมาณน้ำเพียงไปอีก 20 ปี ลดการสูญเสียน้ำอย่างยั่งยืน รวมทั้ง ลดปัญหาความขัดแย้งของประชาชนพื้นที่ต้นน้ำและปลายน้ำ ลดค่ากระแสไฟฟ้า ปีละไม่น้อยกว่า 10.61 ล้านบาท และลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ปีละไม่น้อยกว่า 10.92 ล้านบาท