การเมืองไทยยังคงเป็นที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะเมื่อขณะนี้เข้าสู่ช่วงนับถอยหลัง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ใกล้จะพ้นโทษและกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ 100%
เรื่องนี้ทำให้หลายฝ่ายคาดว่า นายทักษิณจะขยับเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น เพื่อกอบกู้สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยที่ขณะนี้ไม่สู้นี้นัก เพราะเจอทั้งศึกนอกเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างพรรคก้าวไกลและพรรคภูมิใจไทย และมีศึกภายในที่ส่อแววทวีความร้าวฉานมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่หากนายทักษิณเข้ามาช่วยพรรคเพื่อไทยเต็มที่ สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยจะดีขึ้นจริงหรือไม่
คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญคือ “ไม่ได้”
ผู้บริสุทธิ์ที่สังคมไม่เชื่อถือ
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เปิดเผยมุมมองในรายการ เข้มข่าวเย็น ช่วง Exclusive Talk ทางช่อง PPTV HD 36 ว่า การที่นายทักษิณกำลังจะพ้นโทษ โดยที่กรมราชทัณฑ์ออกหนังืสอรับรองให้ เป็นเพียงเรื่องทางกฎหมายและภาษา แต่ในสายตาของประชาชน มันไม่ใช่
มิหนำซ้ำ ประชาชนยังอาจมองด้วยว่า ผู้บริสุทธิ์คนนี้กำลังพยายามทำตัวเป็นนายกฯ อีกคนหนึ่ง
“ประชาชนยังติดตาเรื่องการแสดงบทบาทที่ผ่านมา มันเป็นเรื่องการยอมรับ เรื่องความชอบธรรมจากประชาชน บริวทแวดล้อมตอนนี้กับอดีตมันหนังคนละม้วนแล้ว ตอนนี้คนรุ่นใหม่ที่จะต้องมารับผิดชอบสังคมในอนาคต เขาจะคิดและติดตามบริบททุกอย่าง ว่านักการเมืองปัจจุบันคาดหวังได้หรือไม่ ที่ผ่านมาเขาก็เห็นเหมือนประเทศนี้มีนายกฯ อีกคน” พล.ท.ภราดรกล่าว
อดีตเลขา สมช.เสริมว่า การทำแบบนี้ไม่เป็นผลบวกต่อประเทศ ไม่ว่าจะที่ไหนในโลกไม่เคยสำเร็จ หัวหน้าพรรคยังอาจถูกมองว่าเป็นนอมินีได้ แต่ถ้าเป็นผู้นำรัฐบาลแล้วถูกมองว่าเป็นนอมินี จะเป็นปัญหา
มีการตั้งคำถามว่า สมัย อานันท์ ปัญญารชุน เป็นนายกฯ ก็มี “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ เป็นเงา
พล.ท.ภราดรบอกว่า “มันคนละบริบทกัน เสรีภาพของคุณอานันท์เต็ม 100% เพราะฝ่ายยึดอำนาจจำเป็นต้องหานายกที่มีศักยภาพคลี่คลายปัญหาบ้านเมืองระยะสั้น คุณอานันท์มีเสรีภาพ ดำเนินการสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง มีความเหนือชั้น คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) สั่งไม่ได้ ไม่ใช่ลูกไล่ ดังนั้นมันคนละสภาวะแวดล้อมกัน”
4 เสาหลักของเพื่อไทยไม่เหลือแล้ว
ด้าน รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผอ.หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มองว่า นายทักษิณพยายามรักษาให้ตัวเองอยู่ในสมการอำนาจ ให้ตระกูลชินวัตรอยู่ในสมการอย่างต่อเนื่อง
“นี่เป็นการเมืองแบบเดิม แบบครอบครัว แบบบ้านใหญ่ พยายามรักษาดุลอำนาจ เพราะฉะนั้นเขาคงคิดว่าตัวเขามีความจำเป็นต้องเข้ามาในการขับเคลื่อนการเมือง” รศ.ดร.พิชายกล่าว
แต่ในการจะขับเคลื่อนการเมือง อาจารย์จากนิด้ามองว่า ในสมัยก่อนมี 4 เสาหลัก คือ ใช้นโยบายที่ก้าวหน้า มีมวลชนอิสระที่เกิดตามธรรมชาติอย่างเสื้อแดง มวลชนจัดตั้งแบบบ้านใหญ่ และสุดท้ายคือการเป็นผู้นำของนายทักษิณที่เหนือกว่าคนอื่น
“แต่ตอนนี้ เรื่องแรก นโยบายไม่มีอะไรใหม่จาก 20 ปีที่แล้ว นโยบายที่เปลี่ยนเชิงโครงสร้างเหมือนโครงการ 30 บาทฯ กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ ตอนนี้ไม่มีแล้ว โมเมนตัมนโยบายแบบนั้นก็เบาลง มีแต่ประชานิยมแจกเงิน ไม่มีนโยบายเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่จะทำให้คนมีรายได้เพิ่มอย่างจริงจัง” รศ.ดร.พิชายบอก
เขาเสริมว่า ยิ่งถ้าเทียบกับพรรคก้าวไกลจะเห็นว่าห่างชั้น เพราะนโยบายพรรคก้าวไกลจำนวนมากมุ่งเปลี่ยนเชิงโครงสร้างทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ตอนนี้พรรคเพื่อไทยเหมือนอยู่ในสภาพที่คิดนโยบายไม่ออก จะเลียนแบบก้าวไกลก็ไม่กล้าทำ เงินดิจิทัลก็ไม่มีพลัง
เสาต่อมาเรื่องผู้นำ พรรคเพื่อไทยก็ทำลายตัวเอง เพราะช่วงแรก น.ส.แพทองฑาร ชินวัตร ยังมีคะแนนนิยมในช่วงก่อนเลือกตั้ง แต่หดไปตั้งแต่เลือกจับมืออีกขั้วหนึ่ง “หลังจากนั้นเข้ามามีบทบาทแต่ไม่มีอะไรสมราคาคุย ความสามารถมองไม่เห็น จุดยืนเสื่อม ... เพื่อไทยไม่มีผู้นำรุ่นใหม่ที่จะมาแทนที่คุณทักษิณได้เลย”
เสามวลชนอิสระ รศ.ดร.พิชายมองว่า มีมวลชนจำนวนมากบอกเลิกพรรคเพื่อไทยแล้ว ตนเคยไปเจออดีตคนเสื้อแดงที่รักนายทักษิณมาก แต่ตอนนี้บอกว่าไม่เอาแล้ว ตั้งแต่กลับมาประเทศไทยแล้วได้รับอภิสิทธิ์ เขาบอกตาสว่างแล้ว คนแบบนี้มีอยู่มาก
ส่วนเสามวลชนการจัดตั้งบ้านใหญ่ รศ.ดร.พิชายกล่าวว่า “การจัดตั้งบ้านใหญ่เจอภูมิใจไทย เมื่อก่อนเวลาเลือกตั้ง เพื่อไทยแข็งทั้งผู้นำ นโยบาย และมวลชนธรรมชาติ จึงไม่ค่อยให้น้ำหนักบ้านใหญ่มาก เกิดเป็นช่องว่างให้พรรคภูมิใจไทยเข้ามาได้ จนสามารถคุมสภาพบ้านใหญ่ในหลายจังหวัดได้”
อาจารย์ย้ำว่า ภูมิใจไทยเป็น 1 ใน 2 พรรคที่คะแนนเพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด โดยภูมิใจไทยได้คะแนนเสียงจากบ้านใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และยิ่งมาสะท้อนชัดตอนเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.)
ตัวเปลี่ยนเกมไม่ใช่ทักษิณ แต่คือ “นโยบาย“ และ “ประชาชน”
รศ.ดร.พิชายกล่าวถึงดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมาว่า เป็นละครฉากหนึ่งของพรรคการเมือง แสดงความสามัคคี ทั้งที่ในระหว่างพรรคจะเห็นรอยร้าว
“อย่างนโยบายกัญชา จะให้คุณอนุทินไม่หงุดหงิดยังไงถ้าเพื่อไทยมีท่าทีแบบนั้น เหมือนหักหน้ากัน กับพลังประชารัฐเองก็มีปัญหา บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร ก็ไม่มา ทั้งที่เป็นเจ้าภาพ สะท้อนว่าความสามัคคีในพรรคร่วมแทบไม่มี แต่ตอนนี้ทุกคนพยายามเกาะเกี่ยวรักษาสถานภาพไว้ให้เดินไปได้ จะคาดหวังว่าจะสร้างคุณูปการ อะไรน่าจะยาก” อาจารย์กล่าว
เขาเสริมว่า ภายในพรรคเพื่อไทยเองมีความขัดแย้ง โดยเฉพาะภาวะผู้นำและบารมีของ น.ส.แพทองธารที่ถูกตั้งคำถามจากกรณี “วัน อยู่บำรุง” และ “วรชัย เหมะ”
“เคสคุณวันกับคุณวรชัย คูรวรชัยหนักว่า เพพาะวิจารณ์ชัดเลย ส่วนคุณวันแค่ไปนั่งร่วมแสดงความยินดี แต่การปฏิบัติต่างกัน หมายความว่า แกนนำพรรค ไม่วว่าคุณแพทองธารหรือคุรทักษิณ ให้ค่าสองคนนี้ไม่เท่ากัน คุณค่าของอยู่บำรุงในสายตาคุณทักษิณแทบไม่เหลือ ส่วนคุณวรชัย ยังมีคุณค่าอยู่ เลยไม่กล้าอะไรมากนัก” รศ.ดร.พิชายกล่าว
ผลการปฏิบัติดังกล่าวยิ่งทำให้สมาชิกในพรรคไม่แน่ใจในความเป็นผู้นำของ น.ส.แพทองธาร
อาจารย์บอกว่า “บารมีของคุณทักษิณเมื่อก่อนเพราะมีประชาชนเป็นหลักพิง คุณแพทองธารมีอะไรบ้าง โพลล่าสุดคะแนนิยมแค่ 4-5% ในกทม.ไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ ... นักการเมืองถ้ามีประชาชนหนุนคนเกรงใจ ถ้าไม่มีประชาชนหนุนแล้วใครจะเกรงใจ”
พล.ท.ภราดรเห็นด้วย โดยบอกว่า การเมืองไทยตอนนี้เข้าสู่ความอัปยศ เพราะไม่มีประชาชนในสมการ มีแต่นักการเมืองคุยกันเอง เข้าใจกันเอง ทั้งที่ถ้ามีประชาชนอยู่ข้างหลัง สิ่งที่ยาก ไม่ว่าจะเป็นการแก้รัฐธรรมนูญ หรือกระทั่งกฎหมายนิรโทษกรรม จะไม่เกิดปัญหาเลย
“เพราะการเริ่มต้นที่มันข้ามขั้ว ทำให้ไม่มีพลัง เหมือนต้นไม้ รากแก้วคือประชาชน ถ้าแข็งแรง รากฝอยก็แข็ง แต่ตอนนี้นักการเมืองพยายามขยายรากฝอยทั้งที่รากแก้วเน่า ขยายไปก็เหี่ยว ... พรรคเหี่ยวลง ถ้าขับเคลื่อนแล้วไม่มีประชาชนข้างหลัง ยังไงก็ไม่ประสบความสำเร็จ” พล.ท.ภราดรกล่าสว
อดีตเลขา สมช.กล่าวว่า นายทักษิณต้องการแก้โจทย์ที่เพื่อไทยกำลังเผชิญอยู่ แต่ติดปัญหารากแก้ว เรื่องความชอบธรรม การแสดงที่ออกมามีแต่ความเป็นอภิสิทธิ์ชน สังคมรับไม่ได้
รศ.ดร.พิชายเสริมว่า ไม่แน่ใจว่านายทักษิณจะกอบกู้สถานการณ์พรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ แต่หากเป็นตัวงพรรคเพื่อไทยเอง มีหนทางแก้อยู่ ขึ้นกับว่าจะกล้าทำหรือไม่
“เพื่อไทยอาจจะทำได้ แต่จะกล้าหรือไม่ คือเรื่องนโยบาย เอาง่าย ๆ คือ ที่หาเสียงไว้ทำได้หรือไม่ ผลักออกมาให้ได้ เรื่องอื่นที่จะทำได้หรือนโยบายที่ได้คะแนนความนิยมแน่ คือเรื่องทหารเกณฑ์ กล้าทำหรือเปล่า พอไม่กล้าก็ทำอะไรไม่ได้ โอกาสคะแนนเพิ่มก็น้อย นโยบายตอนนี้หลายคนส่ายหน้า” อาจารย์กล่าว
รศ.ดร.พิชายย้ำว่า “นโยบายคือตัวเปลี่ยนเกม แต่จะเปลี่ยนเกมต้องเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ การบริหาร ซึ่งคนเสียประโยชน์ก็คือคนที่นั่งตัดสินใจกันอยู่ตอนนี้”
พล.ท.ภราดรทิ้งท้ายว่า “ถ้ากองหลังไม่ใช่ประชาชนไปไม่ได้ สุดท้ายต้องกลับไปทางเข้าถึงจะมีทางออก ไม่ต้องรักกันก็ได้ แค่ไปตามที่ประชาชนสั่ง นักการเมืองต้องมี 2 ร่าง คือตัวตน และตัวแทนประชาชน ดังนั้น ถ้าเข้าถ้ำไปแล้วหาแสงไม่เจอ ให้หันหลังกลับไป แสงสว่างยังอยู่”
ตรวจหวยงวดนี้ - ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 ลอตเตอรี่ 16/7/67