นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (บอร์ด กฟภ.) กล่าวถึงกรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรมว.มหาดไทย ได้ลงนามหนังสือสอบถามไปยังสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เพื่อตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงในพื้นที่การจำหน่ายพลังงานให้กับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สืบเนื่องจากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านเป็นนโยบายรัฐบาลที่มีมิติด้านความมั่นคงและมนุษยธรรมมาเกี่ยวข้องด้วยว่า
มท.1 ร่อนหนังสือจี้ สมช. ส่งข้อมูลแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พิจารณาตัดไฟ 5 จุด
คกก.เฉพาะกิจฯ มอบสมช.เจ้าภาพแก้อาชญากรรมข้ามชาติ-ตัดไฟแก๊งคอลฯ ไม่เกิน 1 เดือน
"การดำเนินการของ มท.และ กฟภ. เป็นไปตามกระบวนการปกติ คือ การแสวงหาข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินการ ซึ่งภายหลังจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติห้ามจำหน่ายถ้าพบว่ามีการกระทำผิดสัญญาและส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ดังนั้น มท. จึงต้องมีการประสานกับหน่วยงานความมั่นคงต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลประกอบการพิจารณาในการงดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าต่อไป เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน จึงต้องมีข้อมูลประกอบการพิจารณาที่รอบด้าน" ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าว
นายอรรษิษฐ์ กล่าวด้วยว่า กระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้กำกับดูแล กฟภ. และ กฟภ.ในฐานะผู้จำหน่ายกระแสไฟฟ้า พร้อมปฏิบัติตามข้อมูลและคำแนะนำของฝ่ายความมั่นคง จึงเป็นที่มาของการจัดทำหนังสือสอบถามฉบับดังกล่าว และในวันที่ 6 ก.พ.นี้ กฟภ. ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 25 หน่วยงานร่วมประชุมหารือ เพื่อให้ได้ข้อมูลประกอบการพิจารณาอีกทางหนึ่งด้วย
ถึงแม้กระทรวงมหาดไทยจะเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ด้านความมั่นคง แต่เป็นหน่วยงานรักษาความมั่นคงภายในประเทศ ในขณะที่กรณีที่เกิดปัญหาในขณะนี้ เป็นกรณีที่เกิดขึ้นนอกประเทศไทย การจะดำเนินการใด ๆ กระทรวงมหาดไทยในฐานะกระทรวงที่กำกับดูแลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ต้องได้รับข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคงตามกฎหมาย ทั้งในระดับพื้นที่และระดับนโยบาย เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป เพราะ กฟภ. ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้จัดทำระบบจำหน่ายและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าตามที่ได้รับมอบหมายหน้าที่เท่านั้น