5 มี.ค. 68 พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะผู้สมัคร สว. ให้ความเห็นเกี่ยวกับการประชุมของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ในกรณี “ฮั้ว สว.” ที่จะมีขึ้นในวันที่ 6 มีนาคมนี้ว่าจะเป็นอย่างไร ในรายการเปิดโต๊ะข่าว PPTV HD36 โดย พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า อยากให้การประชุมพรุ่งนี้เหมือนการประชุมคดีพิเศษปกติ ไม่อยากให้คิดว่าเป็นเรื่องการเมือง
ตนเกาะติดเรื่องนี้มาตั้งแต่หลังเลือกตั้งว่าไม่ชอบมาพากล มีการพบโพย การร้องเรียนใดๆ ตนก็แกะรอย สืบสวน หาข้อมูล ขยายผล
จนตอนนี้มีโพยแล้วร่วมสิบโพย แต่ละโพยก็เช็กได้ว่าใครเป็นใคร จากนั้นได้พยานหลักฐานบุคคลที่ไปร่วมขบวนการทำโพย โดยสัญญาว่าจะให้เงินตอบแทน หรือบางคนเห็นว่าถูกหลอกไป ก็ไม่เอาด้วย
พล.ต.ท.คำรบ กล่าวต่อว่า คนเหล่านี้มาให้ข้อมูลเยอะ ก็มีการดำเนินการเน้นคดีอาญา เพราะรู้ว่าคดีเลือกตั้งต้องร้อง กกต. เขาก็ทำไปส่วนหนึ่งแบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ ขณะเดียวกัน การมุ่งไปที่ DSI ก็มุ่งที่คดีอาญา เพราะรู้ว่ามีการจัดตั้งเครือข่าย ก็เข้าข่ายในแง่อั้งยี่
โดยก็พอรู้ว่ามีการโยงไปถึงกลุ่มการเมืองขนาดใหญ่ที่เราพอจะทราบ มีวงเงินเข้ามาเกี่ยวข้องหลายร้อยล้านบาท แจกจ่ายไประดับจังหวัด ระดับอำเภอ ตนรู้ประมาณ 50 – 60 % จากนั้น DSI จะไปขยายผลต่อในเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งเขามีข้อมูลประมาณ 70 – 80 % แล้ว ถึงจุดนี้ คงดำเนินคดีเรื่องอั้งยี่ได้
ฉะนั้น คดีนี้ไม่ได้เริ่มจาก DSI ไปตั้งข้อหาจากการสั่งการฝ่ายใด แต่มีผู้ไปร้องทุกข์ว่ามีความผิดแบบนี้เกิดขึ้น แต่เนื่องจาก DSI ยังไม่มีอำนาจสืบสวน ก็ต้องไปเข้าคณะกรรมการคดีพิเศษ ฉะนั้น การที่บางฝ่ายบอกว่าเป็นเรื่องการเมือง กลั่นแกล้งกัน ก็อาจจะยังเข้าใจผิด
ส่วนประเด็นที่ครั้งก่อน ตำรวจไม่เข้าร่วมประชุมเลย เป็นเพราะไม่มั่นใจในข้อกฎหมายหรือไม่ พล.ต.ท.คำรบ ตอบว่า ตนพูดตามตรงว่าไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งที่ตำรวจน้อง ๆ ไม่เข้าร่วมประชุม ที่จริงแล้วคดีนี้เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ ซึ่งเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของตำรวจโดยตรง แต่ผู้ที่ขาดการประชุม 3 – 4 คนเป็นผู้นำองค์กรตำรวจด้วย ตนมองว่า ทำให้ประชาชนอดคิดไม่ได้ว่าตำรวจมีเอี่ยวหรือไม่
ฉะนั้น การที่ท่านแสดงออกในลักษณะนี้ควรพึงระวังเป็นอย่างยิ่ง ท่านควรไปประชุม เรื่องนี้สังคมเขาตื่นตัวกันเยอะมาก จะมาอ้างป่วย ติดขัดราชการใดไม่สมควร แต่หากไม่เคยมาประชุมเองแล้วมอบหมายให้ผู้อื่นมาแทนเป็นประจำอยู่แล้ว ก็พอฟังได้ แต่เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น พรุ่งนี้ท่านก็ควรไปจะดีกว่า เพราะการกระทำใดๆของท่านจะถูกจับจ้องและถูกจารึกในสังคมตลอดไป
นอกจากนี้ยังจะมีความทับซ้อนในหน้าที่การงานของ DSI กับ กกต. หรือไม่ พล.ต.ท.คำรบ มองว่า เรื่องนี้ทำกันมาไม่รู้กี่ครั้ง รับหรือไม่รับก็ถกเถียงกันไป ซึ่งส่วนใหญ่จะพิจารณาเรื่องพยานหลักฐานเป็นหลัก ว่าเพียงพอหรือยังที่จะเป็นคดีพิเศษ ถ้ายังก็เลื่อนไป แล้วหามาใหม่ พอได้มาก็นำกลับเข้าที่ประชุม
แต่กรณีนี้ที่เลื่อนเพราะเห็นว่า ขั้นตอนก่อนจะเข้าบอร์ดใหญ่ ต้องกลั่นกรองก่อนให้ละเอียด ประกอบกับทราบว่า กกต. สอบหนังสือแบบกั๊ก ๆ เลยอยากให้เคลียร์ในสองจุดนี้ เหตุผลก็พอฟังได้ที่ทำให้ต้องเลื่อน แต่พรุ่งนี้ สองเหตุนี้ก็ทราบมาว่าผ่านแล้ว ส่วน กกต. ก็ไปคุยแล้ว ดังนั้น มูลเหตุของการเลื่อนไม่น่าจะมี คงคุยพยานหลักฐานกันเลย
ส่วนประเด็นใดที่ทำให้เห็นว่าคดีนี้เข้าข่ายอั้งยี่ซ่องโจร พล.ต.ท.คำรบ ตอบว่า โครงข่ายของกลุ่มขบวนการริเริ่มกันมาตั้งแต่เดือนเมษายน ที่อยากได้ สว. 120 คน และหาวิธีทำโปรแกรมคำนวณสูตร หาคนมาสมัครตั้งแต่ระดับอำเภอ กลุ่มละ 5 คน ทั้ง 20 กลุ่มต้องได้ประมาณ 100 คน ซึ่งเครือข่ายก็เน้นหนักไปจังหวัดที่มีผู้แทนราษฎรเกี่ยวข้องกับกลุ่มเขา ก็จะเห็นว่า การไปเชิญชาวบ้านมาสมัคร เราก็ได้มาเป็นพยานหลายคน
ดังนั้น ทั้งหมดทั้งมวล ทั้งเลือกทางตรง จนมาถึงแบบไขว้ เครือข่ายเหล่านี้มีการจัดการ มีโครงสร้าง การนัดแนะ โพยต่างๆ ทั้งทางใต้ อีสาน กลาง เขียนเหมือนกัน ซึ่งโพยที่พบ เป็นจุดเริ่มต้นให้เห็นขบวนการทั้งหมด โดยสืบจากโพยย้อนขึ้นไปจนเห็นโครงข่าย และย้อนไปถึงตัวหัวโจก ซึ่งอั้งยี่บอกว่าตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป แต่นี่คือร่วมร้อยคน เป็นสมาชิกองค์กรลับ ปกปิดวิธีการ และวัตถุประสงค์คือผิดกฎหมาย อยากได้ สว. แบบไม่เป็นตามระเบียบแบบแผน จึงเข้าข่ายอั้งยี่