จากมติของแพทยสภาที่ออกมาเมื่อวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา ให้ลงโทษแพทย์ 3 ราย ที่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่ามติของแพทยสภาดังกล่าวนั้นจะเป็นสารตั้งต้นที่จะนำไปใช้ขยายผลต่อในชั้น ป.ป.ช. รวมถึงศาลฎีกานักการเมืองที่นัดไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย. นี้ หรือไม่อย่างไร
นายศักดา นพสิทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงประเด็นนี้ในรายการคุยข้ามช็อต Exclusive Talk ว่า การออกหนังสือรับรองของแพทย์ผู้รักษาอดีตนายกฯ ทักษิณ ถือว่าไม่ตรงกับความเป็นจริง
จากการแถลงที่ไม่ชัดเจน แสดงให้เห็นว่ามีลักษณะผิดจรรยาบรรณ ไม่รักษาตามหลักวิชาชีพ มิฉะนั้นแล้วแพทยสภาคงไม่มีมติออกมา
นายศักดา มองว่า ประเด็นนี้ถือเป็นโทษกับนายทักษิณ เนื่องจากนายทักษิณต้องคำพิพากษา ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ แต่ที่ไม่อยู่ในเรือนจำเพราะอ้างว่าป่วย ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าป่วยจริงหรือไม่ ซึ่งคนที่จะยืนยันได้คือแพทย์ และคำวินิจฉัยของแพทยสภาที่ออกมาก็คือความเห็นของแพทย์กรณีการป่วยของนายทักษิณ
ทั้งนี้ ต้องมองเป็น 2 มุม คือ แพทย์ผู้วินิจฉัยได้ใช้หลักวิชาทางการแพทย์ตรวจรักษาคนไข้ตรงไปตรงมาหรือไม่ และอีกมุมหนึ่งหากจะโยงไปเกี่ยวกับนายทักษิณ ต้องไปโยงถึงข้อกฎหมาย ถ้าป่วยจริงก็ให้ไปรักษาภายนอก ถ้าไม่ป่วยก็ต้องอยู่ภายในเรือนจำ หรือเว้นแต่มีข้อยกเว้นออกไปนอกเรือนจำใน 3 กรณี เช่น ป่วย ไปทำงานสาธารณะ หรือถูกเรียกตัวไปสอบถามหรือไปศาล
ฉะนั้น นี่เป็นเพียงประตูหนึ่งที่นายทักษิณอ้างว่าป่วยและออกไปนอกเรือนจำ ทว่าแพทยสภาหาพยานหลักฐานมาบอกว่า นายทักษิณไม่ได้ป่วยจนถึงขั้นวิกฤต หาพยานหลักฐานเอกสารเป็นที่ประจักษ์ไม่ได้
นายศักดา กล่าวต่อว่า การป่วยมีหลายระดับ และการออกนอกเรือนจำก็มีหลายระดับเช่นกัน ระดับที่ป่วยแล้วอยู่ในเรือนจำไม่ได้ ก็มีสิทธิ์ที่จะออกไปยังโรงพยาบาลนอกเรือนจำได้ แต่การออกไปแล้วจะต้องกลับมาในวันเดียว เว้นแต่แพทย์จะมีความเห็นว่าวันเดียวไม่สามารถรักษาตัวได้ ต้องทำความเห็น จุดนี้แพทย์จะเข้ามาเกี่ยวข้อง ว่าต้องรับตัวไว้ และการรับตัวไว้ต้องแจ้งไปยังกรมราชทัณฑ์ หากเกินกว่า 120 วัน ทางกรมราชทัณฑ์จะต้องแจ้งไปยังรัฐมนตรี
ส่วนกรณี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะเซ็นรับมติแพทยสภาหรือไม่ นายศักดา มองว่า นายสมศักดิ์ต้องเซ็น แตกหักกับนายทักษิณต้องแตกหัก อย่างที่เคยกล่าวว่า ในสถานการณ์วิกฤติต้องเอาตัวรอด ฉะนั้นนายสมศักดิ์ต้องเซ็นตามน้ำ
เนื่องจากแพทยสภาเป็นคณะของแทพย์ทั้งหมด เป็นแพทย์ผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส ผู้เชี่ยวชาญทั่วประเทศ 60 - 70 ท่าน สูงกว่านั้นคือรัฐมนตรีสมศักดิ์ หลักการตรงนี้จบโดยข้อเท็จจริงของแพทย์อาชีพอยู่แล้ว จะสมบูรณ์ต่อเมื่อภายใน 15 วัน ส่งมติไปยังรัฐมนตรีสมศักดิ์ให้เซ็น ซึ่งสิทธิของนายสมศักดิ์มีอย่างเดียว คือพิจารณาโทษที่จะลงกับแพทย์ว่าสมควรหรือไม่ได้ แต่จะใช้สิทธิวีโต้ไม่ได้ ยกเว้นว่าจะแปลงโทษ ปรับลดโทษ
นายศักดา กล่าวว่า การนำตัวนายทักษิณกลับเรือนจำนั้นส่วนตัวมองว่าทำได้ แต่กระบวนการที่จะสาวไปถึงนั้นยังอีกยาวนาน เรื่องนี้เป็นคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งวินิจฉัยแล้วว่านายทักษิณกระทำความผิด 3 คดี และกลับเข้ามาได้รับการอภัยโทษจาก 8 เหลือ 1 ปี แล้วเข้าเรือนจำตามกระบวนการ
วันดังกล่าว มีการแถลงว่านายทักษิณจะจำคุกยังแดน 7 ต่อมาเวลาเที่ยงคืน นายทักษิณออกมา นั่นแสดงว่านายทักษิณถูกนำเข้าเรือนจำแล้ว แต่พบว่านายทักษิณป่วย ต้องมารักษาตัวภายนอก เพียงแต่ไม่ได้นำตัวกลับภายในวันเดียว เมื่อไม่ได้เอากลับต้องนำข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อไปว่าแพทย์ที่ตรวจรักษาเป็นเจ้าของไข้ที่ต้องออกหนังสือรับรองว่าป่วยและต้องรักษาที่ รพ.ตำรวจต่อไป
ถ้าออกใบรับรองแล้วเป็นไปตามนั้น เรือนจำจะรับไว้และพิจารณาให้รักษาต่อ ส่วนจะเท็จหรือไม่อย่างไรก็เป็นเรื่องของแพทย์ เรือนจำ ผบ.เรือนจำ หรืออธิบดีกรมราชทัณฑ์ กระบวนการนี้ยังไม่ถึงตัวนายทักษิณ เพราะเขาเป็นผู้ถูกรักษา ไม่ใช่ผู้ถูกวินิจฉัยให้นำตัวไปอยู่ข้างนอก
ส่วนคำถามที่ว่านายทักษิณจะหนีไหม นายศักดา มองว่า คนที่อยู่ในเครือข่ายพรรคเพื่อไทยเคยถูกจำคุก ถูกต้องคดี แม้กระทั่งตนก็ถูกคดี เลยเป็นข้อสงสัยว่าเหตุใดเหล่าบริวารของนายทักษิณจึงเป็นเช่นนี้ ซึ่งข้อเท็จจริงอาจไม่ใช่คนเลวร้ายแบบนั้น แต่เป็นด้วยสถานการณ์ต่อสู้ทางการเมือง ประเด็นอยู่ที่คำถามว่านายทักษิณป่วยจริงหรือไม่ หรือเป็นประเด็นการล้มล้างทางการเมือง แค่นั้น