จากกรณีมีกระแสข่าวว่า ในการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ ในวันที่ 18 ต.ค.นี้ เพื่อเลือกตั้งหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่นั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะได้กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชื่อเล่น มาร์ค เกิดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2507 ที่เมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ เป็นบุตรของ ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ศ.พญ.สดใส เวชชาชีวะ ด้านชีวิตครอบลครัว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมรสกับ ผศ.ดร.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ มีบุตรด้วยกัน 2 คน
ด้านการศึกษา
- นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จบการศึกษาระดับประถมจากโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นได้ไปศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนอีตัน (Eton College) ประเทศอังกฤษ
- ระดับปริญญาตรีสาขาปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับ 1 จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford University) ประเทศอังกฤษ
- ระดับปริญญาตรีสาขานิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง
- ระดับปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford University) ประเทศอังกฤษ
การทำงาน เคยเข้ารับราชการเป็นอาจารย์ประจำโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ (จปร.) ในปี พ.ศ. 2530-2531 ต่อมาในปี พ.ศ. 2532 เป็นอาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford University) ประเทศอังกฤษ และระหว่างปี พ.ศ. 2533-2534 เป็นอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ส่วนเส้นทางทางการเมืองของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในช่วงต้นเรียกได้ว่าสวยสดงดงามอย่างยิ่ง เขาเริ่มต้นด้วยการเป็นอาสาสมัครช่วยหาเสียงให้กับ นายพิชัย รัตตกุล ได้เข้าช่วยงานด้านวิชาการในเรื่องแผนพัฒนาเศรษฐกิจให้กับ นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น และลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็น สส. กรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ. 2535 ขณะมีอายุได้เพียง 27 ปี และเป็นหนึ่งเดียวของพรรคประชาธิปัตย์ใน กทม. ที่ฝ่ากระแส “จำลองฟีเวอร์" เข้ามาได้ และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เขาก็ได้ร่วมคัดค้านการสืบทอดอำนาจของพลเอก สุจินดา คราประยูร
ส่วนตำแหน่งทางการเมืองอื่น “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เคยเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาล นายชวน หลีกภัย ในปี พ.ศ. 2548 พรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดยนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ได้แพ้เลือกตั้งแก่รัฐบาลไทยรักไทย นายอภิสิทธิ์ จึงได้เป็นหัวหน้าพรรค
อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2549 เขาได้นำประชาธิปัตย์บอยคอตต์การเลือกตั้ง จากนั้นในการเลือกตั้งปี 2550 ประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของเขาก็พ่ายแพ้แก่พรรคพลังประชาชน แต่ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน ทำให้ “อภิสิทธิ์” ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
ในช่วงที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องเผชิญกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงถึงสองครั้งคือปี 2552 และ 2553 และเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นในปี 2553 เมื่อการชุมนุมครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก หลังการเลือกตั้งปี 2554 เขาพ่ายแพ้ต่อพรรคเพื่อไทย แต่ก็ยังได้รับความไว้วางใจให้เป็นหัวหน้าพรรคต่อและดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ต่อมาวิกฤตการเมือง 2556 – 2557 พรรคประชาธิปัตย์ก็บอยคอตต์การเลือกตั้งอีกครั้ง ขณะที่ สส. จำนวนหนึ่งก็ไปเคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับกลุ่ม กปปส. ซึ่งเป็นผลให้เกิดการรัฐประหารปี 2557
อย่างไรก็ตามในปี 2561 เขาได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขามีคู่แข่งคือ น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม และ นายอลงกรณ์ พลบุตร และครั้งนี้เขามีท่าทีที่แข็งกร้าวขึ้น และปฏิเสธการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลทหาร “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคในวันที่ 24 มี.ค. 2562
ที่มา : สถาบันพระปกเกล้า