หวานไม่พัก! “เบส คำสิงห์” รีวิวความน่ารัก “ตงตง” ที่บอกยังไงก็ไม่หมด
เป็นคู่รักที่ถูกยกให้เป็นคู่คลั่งรักสุดๆ สำหรับคู่ของพระเอกหน้าใสชื่อดัง ตงตง - กฤษกร กนกธร หรือ ตงตง เดอะสตาร์ กับหวานใจนางเอกและยูทูบเบอร์สาว เบส – รักษ์วนีย์ คำสิงห์ ที่กำลังมีผลงานละครด้วยกันและแฟนๆฟินหนักมากกว่าเดิม
“ตงตง เดอะสตาร์” โรแมนติกมาก เซอร์ไพรส์ขอ “เบส” เป็นแฟน บอกมาช้าแต่ไม่สายเกินไป
ล่าสุด “พีพีทีวี นิวมีเดีย” มีโอกาสได้คุยกับ “ตงตง” เลยไม่พลาดล้วงลึกถึงความรักที่เพิ่งจะครบรอบ 1 ปีไปหมาด แต่ตลอดทางที่ผ่านมาเรียกว่าทั้งคู่ก็เจอทั้งกระแสบวกและลบไม่น้อยเลยทีเดียว
ความหวานไม่แผ่ว คนแซวเซอร์ไพรส์กันยิ่งใหญ่ตลอด?
“คือจริงๆผมก็ไม่อยากให้คิดแบบนี้ครับ บางคนอาจจะเห็นว่าเทศกาลไหนก็ตามทำหมดเลย จริงๆ ไม่ใช่ ผมไม่ได้มานั่งกางปฏิทินแล้วเขียนว่าสงกรานต์ทำอันนี้ วาเลนไทน์ทำอันนี้นะ มันไม่ใช่ ผมทำ ณ เวลานั้นมันรู้สึกแบบนั้น ฟีลนั้น มีความคิดนั้นมากกว่า อย่างที่บอกว่าผมทำตามหัวใจตัวเองนั่นแหละ”
ไม่ได้ต้องแพลนล่วงหน้าเป็นเดือนๆ?
“ใช่ๆ ไม่ได้มากางปฏิทินแพลนกัน ไม่ได้อยากให้คิดว่ามันจะใหญ่ไม่ใหญ่ คือผมไม่ได้แพลนว่าใหญ่ขนาดนั้น ใหญ่ไม่ใหญ่ไม่รู้ ก็แล้วแต่ว่าเราคิดอะไรได้ตอนนั้น เป็นสิ่งที่เราอยากทำ ใครจะว่ายังไง คือมันก็มีคอมเมนต์ต่อว่านะ ผมก็อ่าน แต่ว่าจะให้ผมทำยังไง ตอนนั้นเป้าหมายของผมคือทำให้เขามีความสุข แต่การที่ความสุขของผมทำให้คนนั้นมีความทุกข์ เป็นอย่างนั้นไป แต่ผมเชื่อว่าถ้าแฟนของคุณทำให้คุณแบบนั้นจะมีความสุข”
กลัวไหมว่าคนจะโฟกัสเราเรื่องความรักมากกว่าเรื่องงาน?
“ก็ไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น เพราะว่าสุดท้ายแล้วผมว่าคนจะรักผมได้นั้น ผมอยากให้รักในสิ่งที่ผมเป็น อยากให้รักในตัวตนของผม รักในตัวตนของน้อง ชอบในสิ่งที่ผมเป็นมากกว่า รักผมคือผมมีเบส ผมเป็นแฟนกับเบส ก็อยากให้รักเบสด้วย รักครอบครัวคำสิงห์แฟมมิลี่ด้วย”
บางคนมองว่าเราเพิ่งดัง กระแสกำลังมา ไม่อยากให้เราเปิดตัวเรื่องความรักมาก ทำไม “ตงตง” ถึงเลือกเปิด?
“ใช่ มีแต่คนบอก ก็ไม่รู้สิเรื่องธรรมดาเปล่า กำลังดังเลยพอมีแฟนก็จะกระแสตก แต่ผมไม่ได้มองขนาดนั้น ผมชอบก็บอกว่าชอบ รักก็บอกว่ารัก ตั้งแต่สัมภาษณ์วันนั้นที่ตัดสินใจบอกก็เพราะผมรู้สึกแบบนั้น ผมทำแบบนั้นเพราะผมรู้สึกว่าผมตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่าผมจะจีบน้อง ผมชอบน้องเขา แล้วผมไม่อยากที่จะคือความรู้สึกผมรักน้องแต่ผมไปตอบว่าโอ้ยพี่น้องกันเป็นเพื่อนร่วมงาน แต่สุดท้ายแล้วถ้าในชีวิตประจำวันผมออกไปข้างนอก ผมนัดน้องไปกินข้าวกัน ไปดูหนังกัน เดินจับมือกัน กอดกัน แล้วคนมาเห็นก็จะว่าไหนบอกว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกันเป็นพี่น้องกันมาทำแบบนี้ มันก็จะมาเป็นแบบนี้อีก ผมเลยรู้สึกว่าเรารู้สึกอะไรก็พูดไปเลย ไม่จำเป็นต้องมาปิดบังอะไรกันแล้ว เพราะว่าผมรู้สึกว่าจะไปโกหกกันทำไม มีก็บอกมีไม่มีก็บอกไม่มีเอาความจริงใจของเราดีกว่า”
มุมมองความรักเราเปลี่ยนไป?
“เปลี่ยนไปเยอะครับ เพราะผมผ่านอะไรมา ผมเจ้าชู้ ผมผ่านมาหมดแล้ว จนวันนึงผมรู้สึกว่ามันมาคิดเรื่องงานเยอะ ไม่มีเวลาไปคิดอะไรขนาดนั้น ยิ่งเรามีแฟนแล้ว เรามาอยู่ต่อหน้าสายตาพ่อแม่เขาด้วย ผมคิดถึงขั้นว่าถ้ามันไม่ปรับตั้งแต่ตอนนี้มันจะไปปรับตอนไหน ซึ่งปีๆนึงมันเร็วมาก แป๊บๆ ผม 26 แป๊บๆ ผมจะ 30 แล้ว แล้วถ้าอยู่ดีๆ 30-35 ผมเกิดอยากแต่งงานอยากมีลูก แล้วตราบใดที่ผมยังทำสิ่งไม่ดีนั้นอยู่ แล้วผมจะมีหน้าอะไรไปสอนลูกผม ผมก็เลยต้องทำเพื่อให้เป็นแบบอย่างก่อน ทำในสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข”
กับที่บ้านเขากว่าเราจะฝ่าด่านไปได้ยังไง?
“คือเขาไม่มองเรื่องเก่าผมเลย เขาก็เริ่มมาเรียนรู้ใหม่ว่าผมเป็นคนยังไง ถามว่าต้องพิสูจน์ไหมคืออย่างผมได้เจอแม่เขาก่อนผมจะสนิทกับแม่น้อง เราก็มีการพูดคุยผมก็เล่าเรื่องไม่ดีให้แม่น้องฟังด้วย ผมพูดจากปากผมเองเลยว่าผมไม่ดีมายังไง แม่เขาก็ตกใจว่าโห…ขนาดนี้เลยเหรอ แต่ว่าสุดท้ายแล้วผมเชื่อว่าการกระทำมันสามารถพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นยังไง แล้วเมื่อก่อนเป็นยังไงมันจะเหมือนกันไหม
ซึ่งผมเชื่อว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่หวงลูกสาวตัวเองหรอก ที่เขากล้าเปิดเขาคงเชื่อและอยากให้ลูกเขาได้เลือกในทางเดินของตัวเอง ผมก็เลยรู้สึกว่าครอบครัวนี้เขาไม่มาจับจ้องจับผิดขนาดนั้น เวลาผมไปอยู่ด้วยเขาก็มีความสุขด้วย บางคนก็บอกว่าพ่อเขาเป็นนักมวยเนี่ยไม่กลัวหรอไปทำเขาเสียใจ ผมก็บอกผมไม่กลัว ผมจะกลัวทำไม ผมไม่ได้ตั้งเป้าหมายไปว่าผมจะไปหลอกเขานี่ ผมตั้งเป้าหมายว่าผมรักเขา ก็แค่นั้นเอง ตราบใดที่ผมตั้งเป้าหมายให้มันชัดเจนและมันถูกต้องผมก็ไม่จำเป็นต้องกลัว”
แล้วที่บ้านเรา คุณแม่ว่ายังไงบ้างเคยเจอหรือยัง?
“ยังเลยครับ แม่ก็ถามครับเวลาคุยโทรศัพท์ว่าเป็นยังไงบ้าง แม่ก็คอย คือหนึ่งเลยที่ผมไปออกช่องยูทูบเบสด้วย แม่ก็มีความสุขเพราะแม่ก็ได้เปิดดูด้วย อย่างในละครแม่ก็เห็นแค่ตัวละคร ไปรายการแม่ก็เห็นคือก็ต้องไปในรูปแบบของพระเอ๊ก..พระเอก ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง แต่พอในช่องยูทูบเราเต็มที่เราสนุกแล้วมันเป็นตัวของตัวเองแม่ผมได้เห็นในสิ่งที่ผมเป็นในแบบเมื่อก่อนผมก็ยังเป็นในแบบที่เคยเป็นกับแม่อยู่แม่ดูก็มีความสุข”
จะพา “เบส” ไปเจอแม่เมื่อไหร่?
“ก็คิดอยู่ครับว่าเดี๋ยวจะมีวันหยุดเมื่อไหร่ ก็จะว่าจะพาไปตอนแรกจะไปสงกรานต์ เพราะสงกรานต์ที่ผ่านมาไปที่ชัยภูมิแล้วมันใกล้มหาสารคาม คือไปทำบุญให้คุณยายมันใกล้กันก็เลยกะว่าจะไปแล้วพาแวะไปที่บ้านด้วย แต่ทีนี้แม่ผมดันไปวัดก็ไม่ได้เจอกันครับก็เลยเดี๋ยวหาโอกาส”
ได้มีโอกาสได้คุยโทรศัพท์หรืออะไรกันบ้างหรือยัง?
“ยังครับ แม่ก็เขินด้วยไม่ค่อยกล้า แต่แม่โอเคครับ แม่ก็แฮปปี้มีความสุขถ้าเราคบกันรักกันแล้วมีความสุข เพราะแม่รู้สึกว่าปล่อยผมมาระดับหนึ่งแล้ว คือจริงๆแม่ห่วงผมมาก ห่วงและหวงมากด้วย ผมไม่เคยพาผู้หญิงหรือพาใครไปแนะนำให้แม่รู้จักเลยนี่คือคนแรกแล้วก็คิดว่าจะตัดสินใจพาเขาไปครับ”
คู่เราเจอดราม่ามาตลอดเราจับมือกันฝ่าฟันมายังไง?
“ก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน คือเมื่อก่อนน้องก็ไม่รู้ก็จะเสพมัน แล้วก็จะนอยด์กับมัน คือผมผ่านมาแล้วโดนอะไรมาเยอะแยะไปหมดแล้ว เลยรู้สึกว่าต้องคอยบอกคอยสอนว่าเราอย่าไปฟังสิ่งไม่ดี ฟังตลอดไม่ได้ คนก็ต้องมีชอบและไม่ชอบ เกลียดไม่เกลียดเป็นเรื่องธรรมดา แล้วเรามายืนเป็นคนของประชาชน ผมก็บอกจริงๆเราไม่ต้องไปเถียงอะไรเขา เขาไม่เข้าใจอะไรเรา เราไม่ใช่อย่างที่เขาว่าก็ปล่อยผ่านบ้าง สุดท้ายน้องก็เริ่มเข้าใจว่าอะไรไม่ดีก็ปล่อยผ่าน คอยจับมือกันและกัน ผมว่าจริงๆถ้าเราคอยจับมือกันไป สุดท้ายแล้วคนที่คอมเมนต์อะไรไม่ดีเดี๋ยววันนึงเขาจะเข้าใจเราเอง”
แต่เราไม่ต้องถึงขั้นเปลี่ยนอะไร?
“ใช่ครับ เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดี ทุกอย่างที่เราทำมันมีแต่ความจริงใจ มีแต่ความรัก เราไม่ได้เฟกเราจะกลัวทำไม ถ้าใครจะคิดอะไรไม่ดีกับเราเราปล่อยเขาไม่ต้องไปนั่งอธิบาย ถ้าคนเกลียดเราล้านคนเราไม่ต้องไปนั่งอธิบายล้านคนเลยหรอให้เขามาเข้าใจเรา มันไม่ได้หรอกเพราะฉะนั้นก็ดำเนินชีวิตต่อไปพากันไปเพราะว่าคบกันไปให้มันบวกๆไป”
ถูกถามเยอะเรื่องแต่งงาน?
“คนก็ถามเยอะว่าเมื่อไหร่จะแต่งงาน จะแต่งงานตอนไหน ถามว่าเขินไหมก็เขินครับ (ยิ้ม) คนก็กำลังจับตาดูอยู่ แต่ว่าก็ยังครับ ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น คือผมรู้สึกว่าน้องยังเด็กผมอายุ 26 เขา 21 จะ 22 มันยังต้องเรียนรู้อะไรกันอีกเยอะ คือถึงแม้ผมจะบอกว่าผม 26 ผ่านอะไรมาเยอะผมโตขึ้นแล้ว แต่จริงๆ ผมก็ยังไม่โตขนาดนั้นหรอก ผมว่าผมยังต้องเจออะไรอีกเยอะแยะที่ผมยังไม่เคยเจอ แต่ในช่วงชีวิตนี้ที่ผมผ่านอะไรมาผมก้าวสิ่งนี้แหล่ะที่ต้องไปบอกน้อง เพราะว่าน้องยังเด็กผมว่ามันยังต้องเรียนรู้อะไรกันอีกเยอะยังต้องปรับจูนอะไรกันอีกเยอะ”
รู้สึกยังไงที่คู่เราระยะเวลาที่คบกันจริงๆก็ยังไม่ได้เยอะขนาดนั้นแต่คนก็เชียร์เรื่องแต่งงาน?
“มันก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายมันก็เรื่องของคนสองคน มันคือเรื่องของความรัก เพราะฉะนั้นถ้าผมรู้สึกว่ามันยังต้องเรียนรู้กันอีกยังไงมันก็ยังต้องเรียนรู้กันอีก เพราะว่าเราก็ต้องคุยกันว่ายังต้องเรียนรู้กันอยู่คือเราก็ไม่อยากรีบ เพราะถ้ามันผิดพลาดขึ้นมาเราก็ไม่อยากเสียใจทีหลัง เพราะฉะนั้นเราเรียนรู้ให้ชัดเจน ผมรู้สึกว่าเราต้องโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ก่อน ไม่ใช่ว่าอยากแต่งแล้วแต่งเลยมันก็ยังไม่ใช่ เราต้องโตก่อนเราต้องคิดอะไรอีกเยอะผมเชื่อว่าผมยังเด็ก”
ความประทับใจในตัว “เบส”?
“หลักๆก็คือการเป็นตัวตนของน้องเขา เพราะว่าตั้งแต่วันแรกที่เจอเขาเป็นยังไงเขาก็ยังเป็นอย่างนั้น คือสิ่งที่ผมเจอคือน้องเขา หนึ่งเลยกตัญญู สองการเป็นตัวตนเขาอยู่ด้วยแล้วมีความสุข น้องไม่ห่วงสวย น้องไม่ได้เรื่องเยอะอะไรอยู่ง่ายกินง่าย ไม่เคยว่าอะไรให้ใคร แล้วก็ตั้งไจทำงานหาเงินเอง ก็เลยรู้สึกว่าเป็นคนเก่งและเป็นคนน่ารักคนหนึ่งใครอยู่ด้วยผมเชื่อว่าจะรักเขา เขาอัธยาศัยดีมากครับก็เลยรู้สึกประทับใจที่เขาเป็นแบบนี้ครับ (ยิ้มหวาน)”
ใครคลั่งรักกว่ากัน?
“(หัวเราะ) คงเป็นผมครับก็ได้ฉายานี้มานานแล้ว แต่ตอนนี้ก็พอๆกัน”