“ตงตง กฤษกร” กับบทพิสูจน์ตัวเอง พระเอกสุดฮอตและความภูมิใจของแม่


โดย PPTV Online

เผยแพร่




สัมภาษณ์พิเศษ “ตงตง - กฤษกร กนกธร” หรือ “ตงตง เดอะสตาร์” เส้นทางพิสูจน์ตัวเองในวงการบันเทิงจนขึ้นแท่นพระเอกสุดฮฮตและพิสูจน์ตัวเองให้ครอบครัวได้ภูมิใจ

ล้วงความรัก “ตงตง” เตรียมพา “เบส” เจอแม่ ใช้ความจริงใจฝ่าด่านครอบครัวคำสิงห์

“เบส คำสิงห์” เคลียร์ดราม่าคบซ้อน แจงเลิกอดีตแฟน ก่อนมูฟออนคุย “ตงตง เดอะสตาร์”

ขึ้นแท่นหนุ่มฮฮตมาแรง สำหรับ ตงตง - กฤษกร กนกธร ที่แจ้งเกิดจากเวที เดอะสตาร์ และมีโอกาสชิมลางงานแสดง จนล่าสุดกลายเป็นพระเอกน่าจับตามอง แต่เส้นทางที่กว่าจะมาเป็น “ดาว” ไม่ใช่ง่ายๆ

เขาเปิดใจกับ “พีพีทีว นิวมีเดีย” ถึง

ชีวิตแสนผาดโผนผ่านบทพิสูจน์มาอย่างมากมาย ทั้งงานในวงการบันเทิงและบทพิสูจน์ชีวิตจากเด็กเรียนเก่งที่เคยเดินหลงทาง แต่ในวันที่ทุกอย่างเกือบจะสายไปเขาก็สามารถดึงตัวเองกลับมาได้ เพราะอยากจะทำให้ “คุณแม่” ภูมิใจ และวันนี้เขามีความสุขที่ทำมันได้แล้ว

ขึ้นแท่นพระเอกสุดฮอตงานแน่น?

“(ยิ้ม) ตอนนี้ก็มีละคร “กู้ภัยหัวใจสู้ ที่กำลังออนแอร์อยู่ กระแสก็ดีทีเดียวเลยครับ เป็นละครที่ผมเล่นคู่กับ “น้องเบส” (เบส รักษ์วนีย์) ตอนนี้เรื่องราวก็กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อยากให้ทุกคนมาช่วยลุ้นไปด้วยกันจนถึงตอนจบเลยนะครับ มีครบรสทั้งดราม่า แอ็คชั่นและฉากกุ๊กกิ๊กน่ารักๆครับ แล้วก็มีละครที่กำลังถ่ายทำอยู่เรื่อง “คุณชาย” และกำลังจะเปิดกล้องอีก 2 เรื่องเป็นซีรีส์เรื่องนึง ละครเรื่องนึง

 นอกจากนั้นก็มีรายการ “ตามตง” ทางยูทูบ One Playground และมีรายการ “ภารกิจชีวิตนอกจอ” ร่วมกับอีก 4 พระเอกอย่าง ฟิล์ม ธนภัทร , ตรี ภรภัทร , เน๋ง ศรัณย์ และ ไบร์ท นรภัทร ซึ่งสนุกมาก จะได้เห็นมุมเรียลๆของพวกเราที่ฉีกออกมาจากความเป็นพระเอกในจอเลย (หัวเราะ) ในรายการก็มีเรื่องเซอร์ไพรส์เยอะเลยครับ สามารถติดตามกันได้แล้วครับ แล้วก็มีไปโผล่ๆในช่องยูทูบกับครอบครัวคำสิงห์ จริงๆผมยึดได้นะเนี่ย (หัวเราะ)

ถามว่าผมอยากทำยูทูบเองมั้ยก็อยากทำครับ เอาไว้ว่างๆผมทำแน่ ก็อยากทำแนวไลฟ์สไตล์เลย ทำอะไรก็ได้ไม่ต้องฟิกซ์มาก อยากให้เป็นตัวตนของผมมากที่สุด เพราะผมเชื่อว่าคนที่จะมารักหรือมาชอบเราการเป็นตัวเองสำคัญที่สุด ผมเลยอยากให้ทุกคนรู้จักผมในอีกมุมนึง บางคนอาจจะรู้จักว่าผมเป็นพระเอก ผมไม่อยากไปยืนเก๊กๆหล่อๆ ผมอยากเอาความเป็นตัวเองให้ทุกคนเห็นมากที่สุด อยากให้ทุกคนรักในสิ่งที่ผมเป็น”

ล่าสุดเพิ่งได้รางวัลดาราสมทบชายแห่งปีมาด้วย?

“ดีใจมากเลยครับ รางวัลนี้จากละครวันทอง ผมอยากขอบคุณผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสผม และขอบคุณนักแสดงที่เล่นด้วยกันรวมไปถึงทีมงานด้วยครับ รวมไปถึงขอบคุณแฟนๆทุกคนที่คอยซัพพอร์ตผม ผมสัญญาว่าจะพัฒนาตัวเองต่อไปและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาครับ (ยิ้ม)”

ได้พิสูจน์ตัวเองตามที่เคยตั้งความหวังไว้แล้ว เพราะที่ผ่านมาเจอบททดสอบค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่ตอนประกวดเดอะสตาร์?

“ใช่ครับ กว่าผมจะมาถึงตรงนี้ได้ก็พยายามมาอย่างเต็มที่ที่สุด ถามว่าเคยท้อมั้ย มีอยู่แล้วครับ แต่สุดท้ายผมก็สู้ อย่างร้องเพลงมันยากก็พยายามไปฝึก พูดไม่ชัดเขาก็ส่งผมไปฝึกพูด ไปเรียนมา 3 ครู ไม่รอดสักครู ผมไม่เข้าใจคำว่าพูดไม่ชัดคืออะไร เพราะผมติดสำเนียงอีสาน ผู้ใหญ่ส่งไปเรียนก็ไม่พัฒนาซะที ตอนนั้นผมท้อมากเพราะผมไม่เข้าใจและผมก็ตัดสินใจไม่เรียน แต่ก็บอกตัวเองว่าไม่ได้เราต้องสู้ ต้องฝึก จนวันนึงไปแคสละครเวทีเขาให้ผมร้องเพลง ผู้ใหญ่เห็นก็ชมว่าดีขึ้น เลยทำให้ผมรู้ว่าถ้าสู้และมีความพยายามเราก็ทำมันได้ เลยทำให้ผมสู้และพัฒนามาได้หลายๆอย่างเลยครับ กับละครผมก็อ่านบททุกวัน ทำความเข้าใจกับตัวละครให้มากที่สุด

จากวันนี้จนถึงวันนี้จะ 5 ปีแล้ว แต่ผมว่าผมก็ยังเดินมาไม่ไกลมาก ถ้านับขั้นบันได 100 ขั้นผมก็ยังอยู่ที่ขั้น 2 ขั้น เพราะผมรู้สึกว่ายังต้องไปไกลมากกว่านี้ มันต้องพัฒนาอีก แต่ถ้าตั้งเป้าแค่ว่าต้องดังถึงจะประสบความสำเร็จ ถ้าผมเอาคำชมของละครวันทองมายึด ผมก็จะคิดว่าตัสเองประสบความสำเร็จแล้ว ผมก็จบแล้ว ไปต่อไม่ได้แล้ว ผมไม่ชอบคำชมเลยนะ คนชมมาก็เก็บไว้ มีความสุขมาก แต่ผมจะไปอ่านคำติเพื่อที่ว่าตัวเองจะได้รู้ว่าอะไรบ้างที่ตัวเองจะต้องพัฒนาต่อ จะคิดอยู่เสมอว่าตอนนี้เรายังอยู่บันไดขั้นแรกๆ ยังมีบันไดอีก 900 ขั้นรอให้ไปต่อ ถ้าผมคิดว่าตัวเองเก่งแล้วผมก็จะหยุดอยู่แค่นี้ แต่ผมยังต้องไปให้ไกลมากกว่านี้ ผมยังต้องพัฒนาเรื่องละครเพิ่ม

ตอนนี้ผมจะมาเน้นละครเป็นหลัก เรื่องการแสดงยังมีอะไรอีกเยอะที่ผมยังไม่เข้าใจและต้องเรียนรู้อีกหลายอย่าง แต่ผมก็ไม่ทิ้งการร้องเพลงแน่นอน ยังมีร้องเพลงตามงานอีเวนต์อยู่ เพราะความสุขของผมเริ่มมากจากการร้องเพลง ผมเลยรู้สึกว่าเป็นนักแสดงแล้วก็จริง แต่เรื่องร้องเพลงยังต้องจริงจังกับมันนะ ผมเลยยังไม่ทิ้ง ซึ่งผมก็กำลังทำเพลงของตัวเองด้วย ลงทุนเองทั้งหมดครับ (ยิ้ม)”

กับการเป็นพระเอกมีความกดดันมากไหม?

“ผมไม่ได้มีความกดดันนะ ผมกดดันแค่ตอนเล่น ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องมาเล่นเป็นพระเอก ผมเล่นบทอะไรก็ได้ เราเป็นนักแสดงได้บทอะไรมาก็ต้องทำการบ้านกับมันเยอะๆ ผมรู้สึกว่ามันเป็นโอกาส มีคนที่หน้าตาดีกว่าผม มีคนที่เก่งกว่าผมแต่เขาไม่มีโอกาส เพราะฉะนั้นเมื่อผมได้โอกาสที่หลายๆคนรออยู่จะมาทำทิ้งๆขว้างๆไม่รักษามันแบบนี้ไม่ได้ ผมเลยเชื่อว่าบทไหนก็ตามถ้าคุณทำด้วยความตั้งใจและเต็มที่ก็จะมีโอกาสเข้ามาเรื่อยๆให้เราได้ไปต่อได้แน่นอน”

จากที่เคยผ่านจุดที่อาจจะมีคนไม่ยอมรับ แต่มาวันนี้คนยอมรับมากขึ้น?

“ผมภูมิใจในตัวเอง เพราะผมรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองเลือกมันคือความสุขและตอนนี้ก็ทำให้คนรอบข้างมีความสุขด้วย ย้อนกลับไปจริงๆแล้วผมหนีจากหมอมาเป็นเดอะสตาร์นะ (หัวเราะ) คือพี่ชายผมก็เป็นหมอ ถามว่าทำไมผมทิ้งตรงนั้นมา ไม่ได้ยอมทิ้งหรอกครับ แต่ว่าผมก็พยายามตั้งใจเรียนจนถึง ม.4 ผมเรียนได้เกรด 4 เกรด 3.8 มาตลอด ซึ่งก็รู้ว่าต้องมาทางหมอเพราะที่บ้านมาทางนี้กันหมด แต่ผมดันเกเรเอง รู้ตัวเองด้วย เกเรช่วงประมาณ ม.4 เทอม 2 พอรู้ตัวอีกที ม.6 แล้ว ติดเพื่อนนั่นนี่ เปลี่ยนไปเยอะเลย จากเด็กที่ตั้งใจเรียน เรียนพิเศษตลอด จนเกเรเลิกทุกอย่างเอาเงินที่แม่ให้ไปกวดวิชาไปเที่ยวแทน

ผมมารู้ตัวเองตอน ม.6 ก็รู้เสียดายจากคนตั้งใจเรียนเอาเงินแม่มาทำแบบนี้ พอไปคิดย้อนเมื่อก่อนแม่พาไปเรียนพิเศษ พาไปส่งเรียน ก็คิดว่าจะเอายังไงกับตัวเองดี ซึ่งก็มีความคิดว่าจะเข้ามากรุงเทพฯ ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่าจะเข้ามาทำอะไร แต่ผมรู้สึกว่าอยากเปลี่ยนตัวเองใหม่ เพราะถ้าผมอยู่ที่มหาสารคามต่อไปชีวิตก็จะวนลูป ทุกอย่างวงจรเดิมๆ

ตอนแรกแม่ไม่รู้ แต่สุดท้ายมารู้เขาก็เสียใจ แต่แม่ก็ไม่ได้ขออะไรผมนะ ถามว่าทำไมทำแบบนี้ ก็ต่อว่าผมแหละซึ่งผมก็ไม่เถียงเพราะรู้ตัวว่าทำผิด ผมรู้ว่าเขาเสียใจ ผมยังคิดเลยที่บ้านผมมีเชื้อสายจีน เวลาเทศกาลต่างๆก็จะรวมญาติกัน อากงก็จะถามแต่ละบ้านเลยว่าเป็นยังไงๆ มาถึงบ้านผมก็ถามถึงพี่ชายผมโชคดีที่เขาเป็นหมอ ถ้าพี่ผมไม่เป็นหมอแม่ผมจะโดนต่อว่าอะไร เลี้ยงลูกยังไง ทำไมลูกเกเร แต่มาถึงผมคนที่โดนว่าเละเทะเลยเป็นแม่โดนแทน ไม่ใช่ผมโดนเอง มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าผมต้องทำอะไรมากกว่านี้แล้ว

ตอนนั้นผมเลยอยากเข้ากรุงเทพฯ อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำยังไงก็ได้ผมต้องเริ่มใหม่จะไม่ทำตัวแบบเดิม ผมก็บอกแม่นะ แต่ไม่มีใครเชื่อผม พี่ชายผมเองก็บอกว่าอย่าให้ผมเข้ามากรุงเทพฯ เพราะเขารู้สึกว่าอยู่มหาสารคามยังเป็นแบบนั้น ถ้าไปอยู่ที่อื่นยังเป็นยังไง ไม่มีใครให้ผมเข้ามากรุงเทพฯเลย ผมพูดจนรอบที่ 3 แบบจริงจังเลย

จนมาจบประโยคที่ว่าผมอยากทำให้แม่หรือทุกคนเห็นเลยว่า “ถึงผมไม่ได้เป็นหมอ แต่ผมจะสามารถดูแลแม่ได้โดยที่ไม่ต่างจากหมอเหมือนกัน” ผมพูดประโยคนี้แม่ผมร้องไห้ตัดสินใจพาผมเข้ามากรุงเทพฯด้วยตัวเอง ผมรู้ว่าแม่อยากให้ผมไปแหละ แต่ผมก็เป็นห่วง ผมไม่เคยอยู่หอ ต่อให้ไปเที่ยวดึกแค่ไหนผมก็กลับบ้าน ไม่เคยไปนอนบ้านเพื่อน และเวลาไปเที่ยวผมก็ไม่ดื่มแอลกอฮอล์นะ จนถึงทุกวันนี้ผมก็ไม่ดื่ม จะดื่มน้ำอัดลมกับน้ำเปล่า 

แต่แม่ก็คงเป็นห่วงถ้าผมต้องมาใช้ชีวิตยู่คนเดียว ผมเริ่มใหม่ทุกอย่างเลย ใช้ชีวิตลำบากมาก ก็กลัวกรุงเทพฯหมือนกัน ผมค่อยๆปรับตัว และมีเพื่อนอยู่ที่นี้ด้วย จากนั้นก็มีโอกาสเข้ามาประกวด “เดอะสตาร์ 12” ผมอยากประกวดเอง ก็เลยลองดูและมีโอกาสติด 1 ใน 8 พอจบการประกวดมีเพลงและได้เล่นซิตคอมบางรักซอย9/1 แล้วก็ทำงานยาวมาถึงปัจจุบัน”

ตอนตัดสินใจประกวดเดอะสตาร์ได้บอกคุณแม่ไหม?

“แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ แต่เป็นที่ตัวเองผมเองที่ตอนนั้นผมเครียด รู้สึกว่าการประกวดมันไม่ใช่ทางของผมอยู่ดี เข้าไปร้องเห็นแต่คนเก่งๆ รู้สึกว่าความสุขอยู่ตรงไหน แต่แม่ก็ให้กำลังใจบอกว่าไม่ไหวก็พอแล้ว แม่ร้องไห้บอกว่ากลับมาได้หรือไม่ก็ไปเรียนก็ได้ จบแล้วก็กลับมาบ้านเรา แต่ว่าผมโชคดีมากที่ได้เจอพี่ๆหลายคน เจอทีมงานคอยบอกผม จนผมพัฒนาตัวเองและทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี”

การแสดง “ตงตง” ก็เอาชนะตัวเองมาด้วยเหมือนกัน?  

“การแสดงยอมรับว่าตอนที่เล่นบางรักซอย 9/1 ผมก็ไม่มีความสุขเหมือนกัน เพราะรู้สึกว่ามันยากจริงๆ และวันนึงพี่กิ๊กที่เป็นผู้กำกับมาบอกผมว่าเขาต้องไปแล้ว ต้องไปกำกับซิตคอมอีกเรื่อง ผมรู้สึกว่าพี่จะมาทิ้งผมไปได้ยังไง ผมเริ่มมาจากพี่ ถ้ามีคนใหม่มาผมก็ต้องเริ่มใหม่สิ ผมไม่อยากให้พี่เขาไป ก็ขอร้อง ร้องไห้ไม่ให้ไปเพราะไม่อยากไปเริ่มใหม่ ผมกลัว ผมเริ่มจากเขาและรู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นได้มาจากพี่เขา แต่พี่กิ๊กพูดกับผมประโยคนึงว่าที่เขากล้าไปเพราะเห็นผมเก่งขึ้น โตขึ้น ปล่อยได้แล้ว

ผมร้องไห้และตั้งเป้าว่าถ้าผมได้เจอพี่เขาอีก ผมจะทำให้ผู้ชายคนนี้เห็นว่าระยะทาง ระยะเวลาที่ผมผ่านมา ผมไม่ได้หยุดอยู่กับที่ ผมพัฒนาและผมไม่ได้เอาเวลาไปทิ้ง จนกระทั้งวันหนึ่งได้มีโอกาสกลับมาทำงานด้วยกันอีกครั้ง ผมรับเล่นละครโดยไม่ได้ดูบท แต่รับเพราะจะได้เจอคนที่ปลุกปั้นผมมา และพี่เขาก็บอกกับผมว่าเด็กคนนั้นที่เขาเคยเห็นตอนนี้เก่งขึ้นมาก ตอนนั้นผมน้ำตาไหลเลย ผมรู้สึกว่านี่คือแรงอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกชอบและรักการเล่นละคร คนรอบข้างสำคัญสำหรับผมมากจริงๆ”

คุณแม่ว่ายังไงบ้างกับความสำเร็จของลูกชายในวันนี้?

“ท่านก็ดีใจครับที่ผมดูแลตัวเองได้ เขาภูมิใจจากที่เคยว่าผมในเมื่อก่อนตอนนี้ก็คงจะเปลี่ยนความคิดแล้วว่าผมเปลี่ยนไปแล้ว (ยิ้ม) ทุกวันนี้ผมมีความสุขมากที่ทำให้แม่ยิ้มได้ ผมจำได้ว่าผมเคยดูละครกับแม่หน้าจอทีวีตอนเด็กๆ และทุกวันนี้แม่ผมได้เปิดดูละครที่ผมเล่น ซึ่งผมแทบไม่ได้กลับบ้านไปหาแม่ นานๆทีจะได้เจอกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้แม่ผมยิ้มได้คือการได้ดูละครที่ผมเล่นผ่านหน้าจอทีวี เวลาแม่ดูจะโทร.มาบ้าง ไลน์มาชมบ้างว่าเล่นดีนะ เหตุผลนึงที่ผมยินดีรับทุกโอกาสที่เข้ามาเพราะแม่จะได้ดูผม แม่เป็นแฟนคลับเบอร์หนึ่งของผมเลย (หัวเราะ)”

กับครอบครัวอยากทำอะไรให้เขาบ้าง?

“หลักๆคืออยากทำให้แม่มีความสุข พยายามเก็บเงินมาตลอด ไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือย เงินละครตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ผมไม่เอาออกมาใช้เลย ผมใช้เงินเก่าที่ตัวเองเก็บมาแล้วก็เงินที่ทำงานอื่นๆ ซึ่งผมจะเก็บเงินซื้อบ้านให้แม่ ผมตั้งเป้าหมายนี้เอาไว้ตั้งแต่วันที่ก้าวเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงแล้วครับ (ยิ้ม)”

 

 

 

 

TOP ข่าวบันเทิง
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ