“น้ำ รพีภัทร” ย้อนวันวาน ไม่เคยคิดจะเป็นดาราดัง ปัจจุบันสุขใจงานแสดงควบเกษตรกร


โดย PPTV Online

เผยแพร่




คุยกับ “น้ำ - รพีภัทร เอกพันธ์กุล” นักแสดงมากความสามารถ เล่าย้อนชีวิตในวงการบันเทิง ไม่เคยคิดจะเป็นดาราดังและวีรกรรมสุดโต่ง เผยปัจจุบันสุขใจงานแสดงควบเกษตรกรและเป็นหัวหน้าครอบครัว

เปิดซุ้มไก่ชน ของเหล่า ดารา–ศิลปิน

เป็นอีกหนึ่งนักแสดงมากความสามารถที่คว่ำหวอดในวงการบันเทิงมานานกว่า 21 ปี สำหรับ น้ำ - รพีภัทร เอกพันธ์กุล ที่เคยโด่งดังพลุแตกมีแฟนคลับทั่วบ้านทั่วเมือง แจ้งเกิดจากการประกวดเวทีดังในยุคนั้นและก้าวเข้ามาเป็นนักแสดงวิกหมอชิต 

“น้ำ รพีภัทร” คุณพ่อลูก 3 ป้ายแดง เผยโฉม “อาโป” ลูกสาวคนเล็ก

“พีพีทีวี นิวมีเดีย” ได้เจอตัวหนุ่มน้ำเลยไม่พลาดที่จะคว้าตัวมานั่งพูดคุย ถึงชีวิตปัจจุบันที่นอกจากจะยังคงโลดแล่นอยู่ในเส้นทางสายมายาแล้วนั้น ยังปักหลักชีวิตที่พาร์ทหนึ่งกับการเป็นเกษตรกรที่บ้านเกิด จ.นครนายก รวมทั้งยังเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีอีกด้วย

ตอนนี้ทำอาชีพนักแสดงควบคู่ทำฟาร์ม?  

“หลักๆตอนนี้ก็ควบคู่กันไปทั้งอาชีพนักแสดงแล้วก็เป็นเกษตรกร ก็ยังคงรับละครอยู่เรื่อยๆครั้งละเรื่อง อาจจะนานหน่อยให้แฟนๆได้ติดตาม ส่วนครอบครัวตอนนี้ก็มีลูก 3 คนแล้ว น่าจะเป็นนักแสดงที่ในรุ่นราวคราวเดียวกันลูกเยอะที่สุดแล้ว (หัวเราะ) ถามว่าการเป็นคุณพ่อลูกสามเหนื่อยไหม จริงๆเขาก็เลี้ยงไม่ยาก คนโตก็เริ่มรู้เรื่องแล้วแต่ด้วยความเด็กก็ยังมีเล่นสนุกอยู่ จะเหนื่อยช่วงที่ลูกเรียนออนไลน์พร้อมกันสองคน คนโตก็รู้แล้วว่าต้องยังไง ส่วนลูกคนที่สองยังต้องประกบอยู่ ส่วนใหญ่ภรรยาผมจะเหนื่อยตรงนี้ ส่วนผมก็ไปทางดูแลในฟาร์ม

ถามว่าการทำฟาร์มเหนื่อยไหม มันเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ช่วงที่ผ่านมาผมว่ามันกระทบทุกอาชีพแหละ อาชีพนักแสดงก็กระทบ แล้วอาชีพเกษตรของผมรายได้หลักๆเลยมาจากไก่ชน มีรายได้เข้าทุกวัน แต่เมื่อสนามไก่ชนเปิดไม่ได้คนก็ไม่รู้จะหาซื้อไก่ชนไปทำอะไร แต่มันก็ยังดีที่ว่าเราขายทั้งเป็นไก่นักกีฬาที่สายพันธุ์ดี พอเวลาไม่มีที่ชนก็เป็นช่วงของการพัก พักก็คือผสมพันธุ์ เราก็ยังมีสายพันธุ์ที่เป็นแม่พันธุ์ให้เขาไปต่อยอดกัน ก็ยังพอเตาะแตะๆไปได้ แต่พอเวลาที่สนามกลับมาเปิดได้ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม อาจจะไม่ได้ร่ำรวยมั่งคั่งมาก แต่ว่ามันก็ไม่เข้าเนื้อแล้วเราก็ได้ทำกับสิ่งที่เราชอบและมีความสุขด้วย ก็พอมีเงินเลี้ยงลูกน้อง ค่าใช้จ่ายต่างๆ

นอกจากไก่แล้วก็มีควายที่เริ่มเลี้ยงมาได้ประมาณ 2 ปีกว่าๆ แต่ผมโชคดีที่มีพรรคพวก พี่น้องและกุนซือดีก็เลยประสบความสำเร็จค่อนข้างที่จะเร็ว มันอาจจะมีการลงทุนที่ค่อนข้างสูง แต่จังหวะที่ผมซื้อเนี่ยเป็นราคาที่กำลังพอดิบพอดี แต่ตอนนี้มูลค่าของควายมันขยับขึ้น ในช่วงสถาการณ์โควิดสิ่งเหล่านี้มันค่อนข้างที่จะสวนทางที่ว่ามันดีขึ้นๆ”

อาชีพเกษตรสำหรับตัวเราโอเคไหม?

“สำหรับผมจะเป็นเกษตรกรที่เน้นการเลี้ยงไก่ มันใช้เวลาเหมือนกัน กินเท่ากัน แต่มูลค่ามันมากกว่า ผมจะเน้นในเรื่องของสัตว์เศรษฐกิจที่มูลค่ามันอยู่ที่ความพึงพอใจของเราเอง ไม่ใช่ราคาตลาด ราคาพ่อค้า ทุกวันนี้ที่ผมเลี้ยงอยู่มันคือความพอใจที่เราอยากจะขาย อยากจะขายก็ขาย ไม่อยากขายก็ไม่ขาย ซึ่งตัวเราเองจะมีอำนาจในการต่อรองกับลูกค้าและกับตลาด ซึ่งในแนวทางของผมมันก็สามารถที่จะเติบโตไปได้ แต่เราก็ต้องเต็มที่ทุกๆอย่างเหมือนกันว่าเราก็อย่ามักง่าย อย่าดูถูกลูกค้าเราก็ต้องให้สิ่งที่ดีแล้วทุกอย่างมันจะกลับมาเอง เขาได้ไปดีสุดท้ายเขาก็กลับมาเอาอีกๆ ซึ่งมันจะทำให้เราอยู่ได้คือต้องให้ของดี สโลแกนของฟาร์มผมเลยนะ ‘ทำด้วยใจ ให้ของดี รพีภัทรฟาร์ม’ ขึ้นป้ายไว้เลยจะได้ด่าถูกตัว (หัวเราะ)”

เคยเจอวิกฤตไหม?

“โรคระบาดมันก็มี ฟาร์มล้างไปเลยปิดกิจการชั่วคราว ช่วงนั้นด้วยความที่ผมเปิดเป็นระบบลูกฟาร์ม ไก่ก็จะเพราะหลายที่หลายจังหวัด บางครั้งก็มีการเข้าออกตลอดเวลาของไก่ มีทั้งลูกค้ามาซื้อแล้วเราก็ไปจับมาจากลูกฟาร์มด้วย มันก็เลยทำให้เราไม่รู้ว่าลูกฟาร์มทำวัคซีนให้เราหรือเปล่า แต่พอเวลาอากาศเปลี่ยนๆมันทำให้ไก่จะป่วยได้ โอ้โห!เล่นซะร่วงเลย พ่อไก่แม่ไก่ที่อยู่ที่ฟาร์มก็ค่อนข้างที่จะเหลืออยู่ทั้งหมดจาก 20 กว่าๆ เหลือ 3 ตัว ที่เหลือร่วงหมด เราก็บอกว่าลูกฟาร์มอย่าเพิ่งมาส่ง ลูกค้าก็อย่าเพิ่งเข้า ในเพจหรือไลน์ที่อาจจะต้องลงก็อาจจะหายเงียบไป ตอนนั้นก็คลีนชุดใหญ่เลย แต่หลังจากนี้ก็คือบอกลูกฟาร์มทุกคนแล้วว่าต้องทำวัคซีนมันสำคัญ แทนที่จะเจอโรคระบาดมันก็อาจจะแค่ป่วยรักษาตามอาการ ตอนนั้นก็ปิดฟาร์มไปประมาณเดือนกว่าๆ ถามว่าเจ็บเยอะมั้ยก็หลักแสนครับ”

ลงทุนกับฟาร์มไปเท่าไหร่?

“หลักล้านครับ แต่เรามีที่อยู่แล้วเพราะยายยกให้แม่เป็นทรัพย์มรดก และแม่ก็มายกให้ผมกับพี่สาวก็เลยไม่ต้องไปลงทุนซื้อที่ ผมลงทุนแค่สิ่งปลูกสร้าง มีปลูกโรงเรือน ปลูกบ้าน ทำเล้าไก่ ซึ่งจริงๆตอนแรกที่มาสร้างผมทำเล้าไก่ก่อนนะ บ้านยังไม่มีเลย (หัวเราะ) เหตุผลที่ผมย้ายไปอยู่ตรงนั้นเพราะชอบเลี้ยงไก่ อยู่กรุงเทพฯไม่ได้แล้วเพราะพื้นที่เราไม่มี แล้วการอยู่ต่างจังหวัดก็ดีที่สุดสำหรับการทำฟาร์มไก่

ตอนแรกผมก็ยังไม่ได้ย้ายไปอยู่แบบถาวร ไปแค่อยู่แค่วันศุกร์ - วันอาทิตย์ ตอนนั้นยังมีลูกแค่คนเดียว ใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่ช่วงนึงเกือบๆ 2 ปี แล้วก็ค่อยๆสร้างบ้านไปเรื่อยๆ สุดท้ายในเมื่อเราเป็นจิงเป็นจังแล้ว ทำฟาร์มขนาดกลางก็เลยย้ายไปอยู่ที่นั่น ย้ายลูกไปเรียนและอยู่ถาวรเลย เวลาผมมาทำงานก็ตีรถจากนครนายกมากรุงเทพฯชั่วโมงกว่าๆ เอาจริงๆแล้วระยะเวลาการเดินทางก็พอๆกับตอนอยู่ในกรุงเทพฯที่กว่าจะฝ่ารถติดไป”

จุดเริ่มต้นของการทำฟาร์มมาจากอะไร?

“เพราะชอบไก่ชนครับ ผมชอบมาตั้งแต่เด็กแล้วอายุประมาณ 7 – 8 ขวบ ผมก็ไปอยู่ตามบ้านที่เขาซ้อมไก่ชนกัน ผมก็ไปเกาะสังเวียนไปช่วยเขาเช็ดน้ำบ้าง ตาผมเองก็เลี้ยงไก่อยู่แล้วด้วย แต่ก็เป็นไก่บ้านที่เอาไว้เป็นอาหาร ก็ไม่ใช่สายพันธุ์ดีหรอกเอาไปซ้อมกลับเขาก็โดนซ้อมอ่วมกลับมา (หัวเราะ) เงินก็ไม่ค่อยมีกว่าจะเก็บเงินได้ร้อยสองร้อยเพื่อไปหาซื้อไก่ก็นาน

แต่หลังจากที่ได้ตำแหน่งดัชชี่บอย ก็เลยเลิกยกให้ญาติพี่น้องไปเลย พักวงการไก่เข้าสู่วงการบันเทิง (หัวเราะ) พอได้ดัชชี่บอยเวลาว่างเราจะไม่มีแล้ว ในตอนนั้นต้องมาเรียนบุคลิกภาพ เรียนการแสดง เรียนร้องเพลง ฯลฯ ช่วงนั้นวันศุกร์ – วันอาทิตย์ผมจะอยู่กรุงเทพฯ แล้ววันจันทร์ก็กลับไปเรียน มันก็ไม่มีเวลาเลย

ผมกลับมาวงการไก่อีกทีก็ตอนก่อนที่จะมีครอบครัว เป็นช่วงที่อกหักจากความรัก ชีวิตมันเคว้ง ก็เลยไม่รู้จะทำอะไรดี อยู่เฉยๆโคตรดิ่งเลย พยายามคิดว่าอะไรที่เราชอบก็กลับมาที่ไก่ชนเพราะเราสามารถอยู่กับมันตั้งแต่เช้ายันเย็น ก็กลับมาเลี้ยงไก่ชนอีกทีแต่ครั้งนี้เราเริ่มมีทุนทรัพย์แล้ว ก็กลับไปสัมผัสอีกครั้งแล้วก็ได้เจอพรรคพวก ก็เลยได้สายพันธุ์ที่ดีมาจนเลี้ยงชนกับเขาไปสักพักนึง แล้วเราก็มีไก่เก่งของเราและเริ่มเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของวงการไก่ชน เริ่มมีเก็บสายพันธุ์ของตัวเอง มีพรรคพวกแบ่งแม่พันธุ์ให้ เริ่มหาพ่อพันธุ์มาก็เลยเริ่มเป็นระบบฟาร์ม แต่ด้วยตอนนั้นที่อยู่กรุงเทพฯพื้นที่มันจำกัด แต่เลี้ยงไก่วันทุกอณูของพื้นที่บ้าน จนเริ่มล้นออกถนนอยู่ไม่ได้แล้ว มีคนร้องเรียนแล้ว เลยคุยกับแม่กับยายว่าเอายังไงดี เขาก็บอกว่าให้กลับมาทำที่บ้านเราสิ เพราะมีที่ของเราเองบวกกับว่าผมเองก็จริงจังป็นระบบฟาร์มแล้วก็เลยกลับไปอยู่ที่นครนายก ก็เลยทำให้ตอนนี้มันอย่างทุกวันนี้”

งานในวงการก็ยังมีผลงานตลอดเวลา จริงๆ “น้ำ” อยู่วงการมากี่ปี?

“ผมเข้ามาตอนดัชชี่บอยปี 2001 ก็ประมาณ 21 ปีแล้ว”

เคยคิดไหมว่าตัวเองจะเป็นดาราดัง?

“ไม่เคยคิดนะ ตอนที่ผมมาประกวดดัชชี่คือมีโมเดลลิ่งส่ง เพราะเมื่อก่อนตอนปิดเทอมเพื่อนผมก็จะมาเรียนกันที่กรุงเทพฯ ผมเองไม่ได้เรียนกับเขาหรอก เพราะใจไม่รักเรียน มาอยู่บ้านป้าตรงดอนเมืองบ้าง มาอยู่กับแม่แถวๆตึกช้างบ้าง ช่วงปิดเทอมที่บ้านไม่ให้อยู่นครนายกเดี๋ยวพวกชวนเที่ยว เดี๋ยวไปเกเร ก็เลยมาอยู่กรุงเทพฯ ผมก็นัดกับเพื่อนที่เขามาเรียนไปเดินเล่น เดินห้างแถวลาดพร้าวบ้าง ไปสยามบ้าง ก็เลยเจอโมเดลลิ่งเขาเลยบอกว่าขอถ่ายรูปเอาไว้ แล้วก็ขอเบอร์ติดต่อจะส่งงานให้ ตอนนั้นยังเป็นโทรศัพท์บ้านอยู่เลย แล้วผมก็ให้เบอร์โทรศัพท์แม่ไว้ด้วยมั้ง เขาก็ส่งผมประกวดดัชชี่ ช่วงนั้นทรงผมนี่ทรงเรียน รด.มาเลย หัวเกรียนๆ เสื้อผ้าก็แต่งตัวไม่เป็นยืมของเพื่อนมาใส่

ผมคิดว่ามาลองประกวดเฉยๆ แต่เข้ารอบมาเรื่อยๆโดยที่เราก็ไม่ได้คิดอะไร เขาให้โชว์การแสดงยังไม่รู้เลยว่าเราจะโชว์อะไร จำได้ว้าตอนนั้นรองเพลงของ “พี่ก๊อต จักรพรรณ์” ด้วยความที่เพลงมีเสียงระนาดเขาก็ให้โชว์เป็นลิเก ผมก็โอเคเพราะตัวเองก็ชอบไปนอนดูลิเกกับยายอยู่แล้ว มันก็คือตัวตนเราแต่ก็รำไปเป็นนะ ร้องก็ทื่อๆก็ไม่คิดว่าจะได้ตำแหน่งดัชชี่บอย ก็ทำให้มีโอกาสเข้าวงการบันเทิง ซึ่งจริงๆไม่ได้อยากแสดงนะอยากร้องเพลงมากกว่า

ถามว่าอยากร้องเพลงขนาดไหน คือหลังจากได้ดัชชี่บอยผมไปเป็นนักร้องฝึกหัดรุ่นเดียวกับ “เป๊ก ผลิตโชค” , “ฟิล์ม รัฐภูมิ” , “บาส - บอล บางแก้ว” ที่แกรมมี่ ไปเรียนสักพักสุดท้ายก็มาเล่นละคร เพราะทางช่อง 7 เรียกตัวมา ชีวิตผมก็ผกผันมาตามดวง ละครเรื่องแรก “ผีขี้เหงา” จำได้ว่าตอนที่เล่นฉากแรกโคตรเกร็งเลย หัวใจมันแทบจะระเบิดออกมา รู้สึกเลยว่ามันเต้นตึกๆๆ (หัวเราะ) ไปกองแต่เช้าตรู่กว่าจะได้เข้าฉากพระอาทิตย์ตกดิน แต่ช่วงนั้นถึงจะยังไม่เข้าฉากความตื่นเต้นมันมีตลอดเวลาตั้งแต่เราไปถึง เข้าแค่ฉากเดียวแต่กลับบ้านมาแบบหมดพลัง อ่อนล้ามาก ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่จะจำไม่มีวันลืมเลย แล้วมันก็ไปตามสเต็ปเรื่อยๆ”

ในยุคนั้นโด่งดังเป็นพลุแตก “อู๋ - น้ำ - บิ๊ก - ไผ่” ถูกยก F4 เมืองไทย ?

“มันเป็นผลสืบเนื่องจากละคร “เบญจา คีตา ความรัก” ด้วย ถ้าถามความตื่นเต้นมันมีตั้งแต่ตอนที่ได้ดัชชี่บอย ผมเริ่มมีแฟนคลับตั้งแต่ตอนประกวดดัชชี่ หลังจากได้ตำแหน่งลงเวทีมาก็มีคนมาขอถ่ายรูป ขอลายเซ็น ก็ยังคิดเลยจะเซ็นยังไงดี (หัวเราะ) และเนื่องด้วยตอนนั้นเวทีการประกวดมีไม่ค่อยเยอะ รวมถึงนักแสดงในยุคนั้นก็ไม่ค่อยเยอะด้วย ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่เยอะมากหรือการประกวดก็เยอะมากๆ

ช่วงที่เป็นนักนักแสดงช่อง 7 แล้ว ก็มีไปต่างจังหวัดก็เคาะรถกัน และระหว่างโชว์ตัวก็จะมีแฟนๆมารุม และผลมันก็สืบเนื่องต่อๆกันมา จนมาถึง “เบญจา คีตา ความรัก” น่าจะที่สุดของผมแล้ว ไปขึ้นเวที 7 สีคอนเสิร์ตเพราะตอนนั้นมีเพลงด้วย โอ้โห!แฟนคลับมาเพียบเลย คำในยุคนั้นก็เรียกว่าวิกแตก นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ทำให้ชื่อเสียงขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็น “อู๋ น้ำ บิ๊ก ไผ่” (อู๋ นวพล , น้ำ รพีภัทร , บิ๊ก ภุชิสสะ , ไผ่ พาทิศ) แล้วทุกคนอยู่ในบริษัทเดียวกันคือดัชชี่ เป็นช่วงประสบการณ์ที่ดีนะ มีทำเพลงด้วยและมีซีรีส์ของเราด้วย ก็เป็นผลต่อๆกันมา แล้วกระแสในช่วงนั้นละครดังพอดี ทุกคนเป็นที่รู้จักก็เลยทำให้ได้ต่อยอด”

ด้วยความที่เป็นเด็กผู้ชายอยู่รวมกันมีความดื้อไหม แล้วเราดื้อไหม?

“ผมว่าผมน่าจะที่สุดในกลุ่ม 4 คนแล้วนะ น่าจะเป็นภาระที่สุดแล้ว (หัวเราะ) ถามว่ามีหลงแสงสีเดินลอยๆไหมเหรอ ไม่หรอก แต่เดินเมาๆ (หัวเราะ) เพราะว่าเมื่อก่อนด้วยร่างกายที่สามารถจะทำงานแล้วหลังทำงานเสร็จก็ไปต่อได้ ตื่นมาแฮงค์ๆก็ทำงานได้ต่อ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้วนะ ถ้าเป็นแบบนั้นต้องหายไปวันนึง แต่นานๆก็ได้อยู่ๆ ช่วงที่สุดก็สุดๆ เวลาแฮงค์ๆมาก็จะบอกตัวเองว่าไม่เอาแล้ว ชีวิตแบบนี้ไม่เอาแล้ว แต่พอบ่ายๆร่างกายเริ่มฟื้นเอาละไปไหนต่อดี เมื่อก่อนหน้าปากทางหน้าที่พักมีร้านเหล้า ต้องผ่านทุกวันเอาสักหน่อย ซึ่งนิดเดียวไม่มีจริง พอเจอพวกก็ยาวทุกวัน แล้วช่วงนั้นถ่ายละคร 7 วันด้วยนะ จำได้คือแทบไม่ได้อยู่อพาร์ตเมนต์เลย เพราะรถตู้จากกองนี้ไปส่งอีกกอง จากอีกกองกลับมาส่งที่นี่ ทำงานอย่างเดียวมีโอกาสก็แวะร้านเหล้า (หัวเราะ) สักหน่อยๆ สุดท้ายก็เละเหมือนเดิม

ถามว่าผู้ใหญ่ดุไหม ไม่ค่อยๆ เพราะไปถึงกองเราทำงานได้ แต่เมื่อถึงจุดนึงเราก็รู้ว่าเขาอยากได้จากเราเขาไม่ต้องการอะไรมากหรอกขอแค่ให้เราไปร้อยเปอร์เซ็นต์ไปเต็มที่ แต่เราไปบางทีเรารู้เคยนั่งๆเข้าฉากอยู่พอกล้องตัดไปรับคนอื่นผมอ้วกเลยเพราะแฮงค์ แล้วก็ลุกขึ้นมาเล่นต่อ ก็ค่อนข้างใช้ได้ๆเป็นคนสุขนิยม ทุกวันคือความสุขของเรา”

ช่วงที่ดังมากชีวิตเปลี่ยนไปเยอ?

“ก็เปลี่ยนครับ แต่ก็ไม่มีช่วงให้ใช้เงิน การใช้ชีวิตผมก็มีแค่ช่วงเลิกงานเท่านั้นเอง นอกนั้นก็จะทำงานซะส่วนใหญ่ ทำ 7 วัน ไม่มีเวลาแล้วผมก็จะติดเพื่อนจะอยู่กับกลุ่มเดิมๆ เพื่อนที่จากนครนายกด้วยกัน เพราะช่วงที่ผมเป็นนักแสดงเขาก็เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯกันแล้ว ก็จะนัดเจอกับเพื่อนกลุ่มนี้ ก็เล่นเอาซะเพื่อนเกือบเรียนไม่จบเหมือนกัน ตัวเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน สุดท้ายก็เตาะแตะๆไปจนเรียนจบ”

มีช่วงนึงที่เริ่มเฟดและเริ่มเบางานลง?

“ถ้าราทำอะไรในอาชีพเดิมๆในระยะเวลาเป็นสิบปี สิบห้าปีหรือยี่สิบปี มันค่อนข้างที่จะเหมือนที่ฝรั่งบอกว่าต้องเปลี่ยนงาน เปลี่ยนความตื่นเต้น เปลี่ยนสถานที่เพื่อที่จะได้ส้รางแรงผลักดันของเรา ก็มีช่วงที่เล่นละครไม่มีเวลาให้ตัวเองได้พักเลย หรือว่าบทบางครั้งมันซ้ำๆเดิมๆ ก็เลยรู้สึกจำเจ และจริงๆมันก็เป็นวัฏจักรของมันด้วย อาจจะมีช่วงที่พีคๆ 7 วัน แล้วมันก็จะมีกราฟชีวิตที่จะต้องลง วันที่จะต้องลงก็ต้องลงก็แค่นั้นเอง ไม่มีอะไร แต่ด้วยเราเองก็เหมือนทำงานเยอะก็หมดความตื่นเต้นด้วย

แต่สุดท้ายก็เมื่ออายุโตขึ้น ได้รับบทที่หลากหลายขึ้น ก็เริ่มกลับมาสนุกอีกครั้งนึง อาชีพนักแสดงถ้าถามมันก็อาจจะเป็นอาชีพเดิม แต่เราไม่ได้เป็นตัวละครตัวนี้ทุกวัน เดี๋ยววันนี้เป็นตำรวจ อีกวันเป็นโจร ไปเป็นนักร้อง มันได้ทำหลากหลายขึ้นก็ตื่นเต้นขึ้นมา เหมือนว่าเรามาเซ็ตตัวเองใหม่ เซ็ตความคิดใหม่ สร้างไฟให้ตัวเองอีกครั้งนึงแค่นั้นเอง”

พักนานไหมกว่าที่ไฟจะจุดติดขึ้นมาอีกครั้ง?

“จริงๆผมก็ไม่เคยหายแบบจริงจัง ถึงจะรับน้อยแต่ก็จะเป็ยจบเรื่องนี้ต่อเรื่องนั้นเป็นแบบนี้เรื่อยๆตลอด แต่บางช่วงอาจจะพีคถ่าย 2 เรื่อง ซึ่งช่วงนั้นก็จะไม่มีเวลาให้ใครแล้ว เดี๋ยวรับทีละเรื่อง เพราะเราก็มีครอบครัวด้วย”

ได้ยินมาว่า “น้องโอเชี่ยน” ลูกชายคนโต ฉายแววตามรอยพ่อ จะให้เข้าวงการไหม?

“แล้วแต่เขาเลยครับ ถามว่ามีคนมาจีบๆหรือยังก็ยังครับ ที่ผ่านมาบางทีโอเชี่ยนก็ไปกองถ่ายกับผมก็ไปนั่งเรียนออนไลน์ด้วย เพื่อที่ผมจะแบ่งเบาภรรยา บางมีโอเชี่ยนก็มีเข้าฉากบ้าง อย่างละคร “หุบพญาเสือ” ที่ผมเล่น เขามากองด้วยก็เลยมีโอกาสได้เข้าฉากเป็นลูกคนในชุมโจร ใส่ชุดแล้วก็ขี่ม้าก้านกล้วยวิ่งตามผมที่กำลังขี่ม้าอยู่ ถามว่าเขามีแววไหมผมก็ไม่รู้เหมือนกัน คือเราเลี้ยงลูกให้เจอเคนเยอะๆ เขาก็จะไม่กลัวอะไรตั้งแต่เด็กแล้ว ทุกคนผมใช้วิธีนี้ทั้งหมด เขาก็เลยไม่ค่อยกลัวอะไร พอไปกองถ่ายเขาก็จะไปพวกพร็อพ เพราะมีของเล่นที่ใช้เข้าฉากไง ปืนเอย หน้าไม้เอย ก็ไปเล่นอยู่กับเขาขลุกอยู่กับเขาก็อยู่ได้ ผมก็เลี้ยงสไตล์นี้ เด็กผู้ชายต้องลุยๆ ส่วนเรื่องเข้าวงการก็แล้วแต่เขาเลย”

ลูกคนที่ 4 มาไหม?

“มาไม่ได้ครับ ภรรยาทำหมันแล้ว เป็นคุณพ่อลูกสามครับ (ยิ้ม)”

“มาริโอ้” ขอโทษ! แจงแล้ว “ลิซ่า” ไม่ได้บล็อคไอจี ผจก. จริง แค่แซวกัน รับเสียใจ

สุพรรณบุรี จัดทำบุญอุทิศส่วนกุศล ครบรอบ 30 ปี “พุ่มพวง ดวงจันทร์”

 

 

TOP ข่าวบันเทิง
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ