เทียบ “วัคซีนโควิด-19” ทำไมไทยต้องจอง “แอสตราเซเนกา-ออกซฟอร์ด”
รมว.สาธารณสุขอังกฤษ ขอหน่วยงานกำกับดูแลยา เร่งประเมินวัคซีนโควิด “ออกซ์ฟอร์ด”
หลังจากเมื่อมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด (AstraZeneca) ร่วมกับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (Oxford) ได้ประกาศว่าผลการทดสอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ขั้นสุดท้ายมีประสิทธิภาพเฉลี่ยร้อยละ 70 ทำให้หลายประเทศรวมถึงไทยเตรียมสั่งจองวัคซีนตัวนี้ แต่ล่าสุดมีนักวิทยาศาสตร์บางคนออกมาตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของการพัฒนาวัคซีนตัวนี้ ทำให้บริษัทแอสตร้าเซนเนก้าประกาศพวกเพิ่มการทดสอบ เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพของวัคซีน
ผลการทดสอบวัคซีนโควิด-19 ในคนขั้นที่ 3 ที่มหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ดของอังกฤษ ร่วมพัฒนากับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า มีประสิทธิภาพเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 70 ทำให้ความหวังในการต่อสู้กับโควิด-19 มีมากขึ้น ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีผู้ผลิต 2 รายคือ ไฟเซอร์และโมเดอร์นาจะออกมาประกาศความสำเร็จในการพัฒนาเช่นเดียวกัน โดยประสิทธิภาพวัคซีนของไฟเซอร์อยู่ที่ร้อยละ 90 ขณะที่ของโมเดอร์นาอยู่ที่ร้อยละ 94.5 อย่างไรก็ตาม วัคซีนของ Oxford มีความได้เปรียบกว่า เพราะ
โดยอย่างแรก คือ ราคาถูกกว่า วัคซีนของอ๊อกซ์ฟอร์ด มีราคาราว 120 บาทต่อหนึ่งโดส ขณะที่วัคซีนของไฟเซอร์ และโมเดอร์นามีราคาราว 600 ถึง 1,000 บาทต่อหนึ่งโดส อย่างที่สอง วัคซีนของอ๊อกซ์ฟอร์ด สามารถเก็บได้ในอุณภูมิตู้เย็นปกติที่ 2-8 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งสะดวกต่อการขนส่ง แจกจ่ายและใช้มากกว่าวัคซีนของไฟเซอร์ที่ต้องเก็บในอุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส ส่วนวัคซีนของโมเดอร์นาต้องเก็บในอุณหภูมิ -20 องศสาเซลเซียส ทำให้ตอนนี้วัคซีนของ Oxford เป็นที่ต้องการอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด มีนักวิทยาศาตร์ออกมาตั้งคำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีน Oxford โดยข้อสงสัยเกิดขึ้นเนื่องจากวิธีการที่ Oxford ใช้ในการทดสอบวัคซีน ซึ่งแบ่งการทดสอบเป็นสองแบบ ที่น่าสังเกตุคือ อาสาสมัครของทั้งสองแบบมีจำนวนที่แตกต่างกันมาก
อาสาสมัครมีทั้งหมด 24,000 ราย อยู่ใน สหราชอาณาจักร บราซิล และ แอฟริกาใต้ มีการแบ่งอาสาสมัครเหล่านี้เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 มี 2,700 คน กลุ่มนี้ได้รับการฉีดวัคซีน “ครึ่งโดส” หลังจากนั้น 1 เดือน ได้รับวัคซีนอีก “1 โดส” ผลการทดสอบออกมาปรากฏว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพร้อยละ 90 ส่วนกลุ่มที่ 2 มีอาสาสมัครราว 20,000 คน กลุ่มนี้ ได้รับการฉีดวัคซีนเต็ม ๆ “2 โดส” โดยแต่ละโดสถูกฉีดห่างกัน 1 เดือน โดยผลการทดสอบของกลุ่มนี้ชี้ว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพร้อยละ 62 เมื่อนำผลทั้ง 2 กลุ่มมาหาค่าเฉลี่ยกัน ออกมาได้ร้อยละ 70 นี่คือตัวเลขประสิทธิภาพวัคซีนของ Oxford ซึ่งถือว่าดี เพราะสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ WHO เคยบอกไว้ นั่นก็คือ มีประสิทธิภาพร้อยละ 50 ก็ถือว่าดีแล้ว
แต่คำถามคือ ทำไมอาสาสมัครกลุ่มแรกของซึ่งได้รับวัคซีน “โดสต่ำกว่า” จึงสามารถป้องกันโควิดได้ดีกว่า (กลุ่มแรกโดสต่ำกว่าได้ผลร้อยละ 90กลุ่มสองโดสสูงกว่าได้ผลร้อยละ 62) ผู้พัฒนาวัคซีน มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดและแอสตร้าซินเซนเนก้า ก็ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
นักวิทยาศาสตร์หลายรายออกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนตัวนี้ บางคนพูดเลยไปถึงว่ามีการปั้นตัวเลข หนึ่งในข้อสังเกตุของนักวิทยาศาตร์คือ ที่ผลการทดสอบอาสาสมัครในกลุ่มแรกออกมาดีเป็นเพราะว่า อาสาสมัครในกลุ่มนี้มีจำนวนน้อยกว่า ( และอาจทำให้ผลการศึกษาไม่แม่นยำ)
ล่าสุด ปาสคาล โซเรียต (Pascal Soriot) ซีอีโอบริษัทแอสตราเซนเนก้าได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Bloomberg ว่า บริษัทจะทดสอบวัคซีนตัวนี้เพิ่มเติม เพื่อดูว่า ทำไมกลุ่มอาสาสมัครที่ได้รับโดสต่ำกว่า จึงสามารถป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้มากกว่า
ทั้งนี้แอสตร้าเซนเนก้ายังไม่เปิดเผยว่าจะเริ่มการทดสอบเพิ่มเติมเมื่อไหร่ แต่จะเร่งทำให้เร็วที่สุด เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดแล้วว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพสูง ไม่มีการปั้นตัวเลข ทางแอสตร้าเซนเนก้ายืนยันว่า การทดสอบเพิ่มเติมจะไม่กระทบต่อการขออนุมัติใช้วัคซีนฉุกเฉินในสหราชอาณาจักรและประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป
ขณะนี้รัฐบาลอังกฤษได้สั่งซื้อวัคซีนของมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดแล้ว 100 ล้านโดส และคาดว่ารัฐบาลอังกฤษจะเริ่มฉีดวัคซีนให้ประชาชนในวงกว้างอย่างเร็วสุดเดือนธันวาคมนี้
ไฟเซอร์ อิงค์ คาดปีนี้ผลิตวัคซีนโควิด-19 ได้ 50 ล้านชุด