เมื่อวันที่ 4 ก.ค. สหรัฐฯ ฉลองวันชาติยิ่งใหญ่ มีการจุดพลุ และคำแถลงจากประธานาธิบดี โจ ไบเดน
วันชาติสหรัฐฯ ยังเป็นวันที่ไบเดนเคยกำหนดให้เป็นเดดไลน์ในการฉีดวัคซีนว่า ต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ประชากรวัยผู้ใหญ่ (อายุมากกว่า 18 ปี) ได้รับวัคซีนมากกว่า 70% แต่ท้ายที่สุดก็สำเร็จไม่ทันวันชาติตามคำประกาศเดิม
ปัจจุบัน สหรัฐฯ ฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้วกว่า 330 ล้านโดส มีประชากรวัยผู้ใหญ่ได้รับวัคซีนอย่างน้อยเข็มแรกแล้ว 173 ล้านคน หรือ 67% ของประชากรทั้งประเทศ ขาดอีกเพียง 3% เท่านั้น
"ไบเดน" วอน ปชช.ฉีดวัคซีนเพื่อแสดงความรักชาติ
ทำเนียบขาวยอมรับ ฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบไม่ทันแผน 4 ก.ค.
โจ ไบเดน กล่าวเนื่องในวันชาติสหรัฐฯ 4 ก.ค. 2021 ว่า “เมื่อ 245 ปีก่อน เราประกาศอิสรภาพ วันนี้ เราเข้าใกล้การประกาศอิสรภาพจากไวรัสมรณะนี้ ตลอดปีที่แล้ว เราต้องใช้ชีวิตผ่านหนึ่งในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด เรากำลังจะได้เห็นอนาคตที่สดใสที่สุดของพวกเราแล้ว”
เป็นเวลายังไม่ถึงปีที่ไบเดนได้เข้ามาบริหารสหรัฐฯ ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 แต่สถานการณ์ในสหรัฐฯ ที่ดูจะดีวันดีคืน (เพราะสามารถถอดหน้ากากอนามัยได้แล้วในบางพื้นที่) ทำให้ นิวมีเดีย พีพีทีวี ย้อนกลับไปดูว่า นโยบายรับมือโควิด-19 ของทีมบริหารของไบเดนนั้น มีอะไรบ้าง และนำมาสู่ความสำเร็จวันนี้ได้อย่างไร
ทำเนียบขาวระบุว่า เพื่อชาวอเมริกัน ต้องมีการตอบรับต่อวิกฤตสาธารณสุขและเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างเร่งด่วน แข็งแกร่ง และเป็นมืออาชีพ
ประธานาธิบดีไบเดนเชื่อว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและแข็งกร้าว เพื่อปกป้องและสนับสนุนครอบครัว ธุรกิจขนาดเล็ก บุคลากรแนวหน้า และผู้ดูแลต่าง ๆ ในการเผชิญกับความท้าทายนี้
โดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน และรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ได้มีแผนดำเนินงาน 7 ด้านในการเอาชนะโควิด-19 ดังนี้
1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าชาวอเมริกันทุกคนสามารถเข้าถึงการตรวจหาเชื้อได้อย่างสม่ำเสมอ เชื่อถือได้ และฟรี
- เพิ่มจำนวนแหล่งตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบไดรฟ์ทรู (Drive-Thru) เป็น 2 เท่า
- ลงทุนในการพัฒนาชุดตรวจหาเชื้อที่บ้านและชุดตรวจแบบเร่งด่วน เพื่อให้สามารถขยายขีดความสามารถในการตรวจหาเชื้อตามลำดับความสำคัญได้
- ตั้งคณะกรรมการตรวจหาโรคระบาด เหมือนที่มีคณะกรรมการผลิตอาวุธสงคราม
- จัดตั้งหน่วยงานด้านสาธารณสุขย่อยระดมและให้ความรู้ชาวอเมริกันอย่างน้อย 100,000 คนทั่วประเทศ ให้ช่วยดำเนินการติดตามและปกป้องประชากรกลุ่มเสี่ยงในชุมชนต่าง ๆ
2. แก้ไขปัญหาอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ให้ดี
- ใช้พระราชบัญญัติการผลิตเพื่อการทหารอย่างเต็มที่ในการผลิตหน้ากากอนามัย เฟซชิลด์ ชุด PPE และอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อให้อุปกรณ์เหล่านี้มีปริมาณเกินความต้องการ และสินค้าเหล่านี้ในท้องตลาดไม่ขาดแคลน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักหรือพื้นที่ที่มีประชากรกลุ่มเปราะบาง
- เน้นให้มีแหล่งผลิตและความสามารถการผลิตอุปกรณ์ข้างต้นในสหรัฐฯ เพื่อให้แน่ใจว่าในสถานการณ์ฉุกเฉิน สหรัฐฯ จะไม่ต้องพึ่งพาประเทศอื่น
3. ให้คำแนะนำที่ชัดเจน สม่ำเสมอ และอิงตามหลักฐานสำหรับวิธีที่ประชาชนควรจัดการกับการแพร่ระบาด
- การเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) โดยจะสั่งให้ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคหรัฐฯ (CDC) ให้คำแนะนำตามหลักฐาน ว่าในแต่ละช่วง ควรปฏิบัติตัวอย่างไร ให้สัมพันธ์กับระดับความเสี่ยงและระดับการแพร่กระจายของไวรัส รวมถึงเวลาที่จะเปิดปิดธุรกิจ บาร์ ร้านอาหาร โรงเรียน พื้นที่อื่น ๆ และต้องดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ห้องเรียนและสถานที่สาธารณะมีความปลอดภัย การจำกัดขนาดของการรวมกลุ่มที่เหมาะสม เมื่อจำเป็นต้องมีมาตรการเข้มงวด
- จัดตั้งกองทุนทดแทนสำหรับรัฐบาลของแต่ละรัฐแต่ละท้องถิ่น เพื่อช่วยป้องกันการขาดงบประมาณ
- เรียกร้องให้สภาคองเกรสเตรียม “แพ็กเกจฉุกเฉิน” ที่จำเป็นให้กับโรงเรียน เพื่อให้แน่ใจว่าโรงเรียนมีทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการปรับตัวให้เข้ากับโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ
- จัดเตรียม “แพ็คเกจเริ่มต้นใหม่” ที่ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถกลับมาเปิดทำการได้อย่างปลอดภัยอีกครั้ง
4. วางแผนสำหรับการกระจายการรักษาและวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพและเท่าเทียมกัน
- ลงทุน 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 8 แสนล้านบาท) ในแผนการผลิตและจัดจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ให้ชาวอเมริกันทุกคนได้รับวัคซีนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการเมืองไม่มีบทบาทในการกำหนดความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนใด ๆ โดยให้นักวิทยาศาสตร์รับผิดชอบการตัดสินใจทั้งหมดเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน เปิดเผยข้อมูลทางคลินิกต่อสาธารณะสำหรับวัคซีนที่องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) อนุมัติ และอนุญาตให้มีรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรให้สาธารณชนตรวจสอบ และพูดข้อมูลวัคซีนในที่สาธารณะได้โดยไม่ถูกเซ็นเซอร์
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกคน ไม่ใช่แค่คนร่ำรวยและมีเส้นสายที่ดี ได้รับการคุ้มครองและการดูแลที่พวกเขาสมควรได้รับ และผู้บริโภคจะไม่ถูกโก่งราคาหากมียาและวิธีการรักษาใหม่ ๆ ออกสู่ตลาด
5. ปกป้องผู้สูงอายุและคนอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง
- จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจด้านความเหลื่อมล้ำทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์สำหรับโควิด-19 เพื่อให้คำแนะนำและกำกับดูแลเรื่องความไม่เท่าเทียมกันในด้านสาธารณสุขและการตอบสนองทางเศรษฐกิจ
- สร้างศูนย์ข้อมูลการระบาดระดับชาติ (Nationwide Pandemic Dashboard) ที่ชาวอเมริกันสามารถตรวจสอบสถานการณ์โควิด-19 ได้แบบเรียลไทม์
6. สร้างและขยายการป้องกันเพื่อคาดการณ์ ป้องกัน และบรรเทาภัยคุกคามจากการระบาดใหญ่ ซึ่งรวมถึงภัยที่มาจากประเทศจีน
- ฟื้นฟูคณะกรรมการสภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาวในทันทีเพื่อความมั่นคงด้านสุขภาพโลกและการป้องกันภัยทางชีวภาพ ซึ่งเดิมจัดตั้งขึ้นโดยฝ่ายบริหารของโอบามา
- ฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับองค์การอนามัยโลก (WHO) ในทันที เพราะจำเป็นต่อการประสานงานในช่วงการระบาดใหญ่
- เสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงการติดตามเชื้อไวรัสของหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ที่มีชื่อว่า “PREDICT”
- เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่สืบสวนโรคของ CDC เพื่อให้มีหูและตาอยู่ในหลาย ๆ ที่ รวมถึงการสร้างสำนักงานขึ้นใหม่ในปักกิ่ง
7. บังคับการสวมใส่หน้ากากอนามัยทั่วประเทศ
ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องกันว่า จะสามารถช่วยชีวิตคนได้หลายหมื่นคนหากชาวอเมริกันสวมหน้ากาก
- ชาวอเมริกันทุกคนต้องสวมหน้ากากเมื่ออยู่ในนอกเคหสถานที่มีผู้คนจำนวนมาก
- ผู้ว่าการรัฐแต่ละรัฐให้กำหนดข้อบังคับเองในรัฐของตน
- หน่วยงานท้องถิ่นต้องบังคับใช้คำสั่งของรัฐ
ปัจจุบัน แนวทางบางอย่าง เช่น การบังคับสวมหน้ากากอนามัย ก็ได้มีการผ่อนปรนบ้างแล้วจากสถานการณ์ในสหรัฐฯ ที่ดีขึ้น
ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมอยู่ที่ 33.7 ล้านราย เสียชีวิตสะสมมากกว่า 600,000 ราย
เรียบเรียงจาก White House
ภาพจาก AFP