ไทม์ไลน์ "ตาลีบัน" ยึดอัฟกานิสถาน ปฏิบัติการฟ้าแลบโค่นรัฐบาลใน 3 เดือน
ตาลีบันประกาศชัยเหนือกองทัพ รบ.อัฟกานิสถาน
ต้นเดือนตุลาคมปี 2001 ไม่กี่สัปดาห์หลังเหตุการณ์วินาศกรรมอาคาร World Trade Center หรือเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B52 ของสหรัฐฯบินเหนือน่านฟ้าของประเทศอัฟกานิสถาน บริเวณฐานทัพอากาศบากรัม 60 กิโลเมตรจากกรุงคาบูลเมืองหลวง นี่คือการเริ่มต้นภารกิจ Operation Enduring Freedom
สหรัฐอเมริกา กับพันธมิตรนาโต้ บุกถล่มตาลีบันที่ปกครองอัฟกานิสถานในขณะนั้น หลังจากตาลีบัน ปฏิเสธที่จะส่งตัวโอซามา บินลาเดน ผู้นำกลุ่มอัลไกดาที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ 11 กันยายนให้กับสหรัฐฯ
เป้าหมายคือ ตามล่าโอซามา บินลาเดน ถอนรากถอนโคนกลุ่มอัลไกดา และกำจัดรัฐบาลตาลีบันเพื่อไม่ให้อัฟกานิสถานเป็นที่กบดานของบรรดากลุ่มก่อการร้ายอีกต่อไป
กว่า 2 เดือน ในการโจมตีทางอากาศ ตามมาด้วยการรุกคืบของกองกำลังภาคพื้นดินของกลุ่มพันธมิตรตอนเหนือหรือ Northen Allieance กลุ่มกำลังในอัฟกานิสถานที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐยกกำลังประชิดและยึดคาบูลไว้ได้
ในที่สุดตาลีบันหลุดจากอำนาจหลังจากยึดครองอัฟกานิสถานอยู่ 6 ปี ชาวอัฟกันจำนวนมากออกมาเฉลิมฉลอง เต้นรำตามท้องถนน บางคนออกมาโกนหนวดโกนเครา ภายใต้การปกครองแบบสุดโต่งของตาลีลัน สิทธิเสรีภาพของผู้คนถูกจำกัด ผู้ชายไม่ได้รับอนุญาตให้โกนหนวดเครา วัฒนธรรมตะวันตกถูกห้าม ศิลปะทุกแขนงถูกริดรอน แต่ที่หนักที่สุดคือ ชีวิตผู้หญิง พวกเธอถูกตัดสิทธิเสรีภาพในทุกๆทาง หมดโอกาสเข้ารับการศึกษาและการทำงาน การหลุดจากอำนาจของตาลีบันจึงเปรียบเสมือนความหวังใหม่
ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้นออกมาประกาศว่า หมดยุคของตาลีบันแล้ว
อัฟกานิสถานเข้าสู่ช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่านอีกครั้ง โดยมีสหรัฐฯเป็นผู้นำทาง ความพยายามในการสร้างประชาธิปไตยแบบตะวันตกเกิดขึ้น การเลือกตั้งก็เกิดขึ้นในปี 2004 ที่ได้ผู้ที่ชนะคือ Hamid Kazai ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศ หลังอยู่ภายใต้การปกครองแบบสุดโต่งของตาลีบันในที่สุดประชาชนก็ได้มีสิทธิ์ในการเลือกผู้นำด้วยตัวเอง
ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูการเมือง สหรัฐฯทุ่มงบประมาณมหาศาล ติดอาวุธและฝึกรบให้กับกองกำลังรัฐบาลอัฟกานิสถาน (Afghan National Defense and Security Forces) หรือ ANDSF
นโยบายดังกล่าวดำเนินไป จนกระทั่งสหรัฐฯ มีผู้นำคนใหม่ บารัค โอบามา ที่ประกาศทุ่มกำลังเข้าอัฟกานิสถานเพิ่มเพิ่มเติมอีกว่า 47,000 นาย ทหารสหรัฐฯในอัฟกานิสถานช่วงนั้นมีถึง 100,000 นาย เพื่อให้บรรลุ 2 เป้าหมายเดิมคือ กำจัดโอซามา บินลาเดน และสกัดการกลับมาของตาลีบัน
ในที่สุดสหรัฐฯ ก็ทำภารกิจแรกสำเร็จ 10 ปีเต็ม นับจากวันที่สหรัฐฯ ถล่มอัฟกานิสถาน 1 พฤษภาคม 2011 ในที่สุด โอซามา บินลาเดน ก็ถูกหน่วยรบพิเศษของสหรัฐสังหารเสียชีวิตในบ้านพักที่ประเทศปากีสถาน พร้อม ๆ กับภารกิจตามล่าบินลาเดนที่เสร็จสิ้น
สหรัฐฯ เริ่มทบทวนนโยบายทางการทหารในอัฟกานิสถาน และอาจไม่น่าแปลกใจที่จะเป็นเช่นนั้น เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าสหรัฐฯ สูญเสียอย่างหนัก ทหารสหรัฐกว่า 2,500 นายเสียชีวิตในสงครามนี้ กว่า 30,000 นาย บาดเจ็บหรือพิการ ส่วนงบประมาณก็เสียไปจำนวนมหาศาล โดยระหว่างปี 2001-2019 สหรัฐฯ ทุ่มเงินไปในสงครามอัฟกานิสถาน 8.22 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ปี 2014 สหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีบารัค โอบามา และพันธมิตร จึงเริ่มประกาศถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน
การประกาศถอนทหารเกิดขึ้นเกิดขึ้นท่ามกลางความมั่นใจของสหรัฐฯและนาโต้ว่า กองกำลังรัฐบาลอัฟกานิสถานที่สหรัฐช่วยฝึกรบและติดอาวุธให้จะสามารถต้านทานกลุ่มตาลีบันได้ แต่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า นี่เป็นการประเมินที่ผิดพลาด
รายงานจาก SIGAR หรือ Special Inspector General for Afghanistan Reconstruction ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายเงินในโครงการฟื้นฟูอัฟกานิสถานของสหรัฐระบุว่า กองกำลังรัฐบาลอัฟกานิสถานอ่อนแอและไม่มีประสิทธิภาพ กองกำลังที่มีกว่า 300,000 นาย มีเพียงไม่ถึง 55,000 นาย ที่สามารถรบได้
นอกจากความอ่อนแอในกองทัพ ในส่วนของรัฐบาลก็เต็มไปด้วยปัญหารุมเร้า หลังประธานาธิบดีคาไซ อัฟกานิสถานมีการเลือกตั้งอีกเมื่อปี 2014 และ 2019 ที่ได้ประธานาธิบดีอัชร็อฟ กานี ขึ้นมาเป็นผู้นำ ท่ามกลางความขัดแย้งกับกับคู่แข่งทางการเมืองคนสำคัญคือ อับดุลลอห์ อับดุลลอห์ ที่สหรัฐต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยและแบ่งอำนาจกัน
การบริหารประเทศเผชิญกับความขลุกขลัก ไม่นับรวมปัญหาคอรัปชั่นในทุกระดับที่รุมเร้าอัฟกานิสถาน
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการมีอยู่ของตาลีบัน ตั้งแต่หลุดจากอำนาจเมื่อปี 2001 กลุ่มตาลีบันไม่เคยหายไปไหน ยังคงแข็งแกร่งถึงแม้ไม่ได้คุมอำนาจทางการเมือง พื้นที่กว่า 1 ใน 3 อัฟกานิสถานยังอยู่ภายใต้ความครอบครองของกลุ่ม แม้แต่ในช่วงที่สหรัฐฯ และนาโต้วางกำลังไว้เต็มพิกัด สหรัฐฯไม่เคยกำจัดตาลีบันได้อย่างสิ้นซาก
อัฟกานิสถานไม่สงบ การปะทะสู้รบระหว่างกองกำลังสหรัฐฯ และตาลีบันยังคงดุเดือด เหตุระเบิดรถยนต์ เหตุก่อการร้ายทั้งเล็กและใหญ่เกิดขึ้นตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เพียงแต่ไม่ปรากฏเป็นข่าวเนื่องจากโลกเริ่มลืมเลือนสงครามที่ยาวนานนี้
จุดเปลี่ยนที่สำคัญทางนโยบายทางการทหารของสหรัฐฯเกิดขึ้นในช่วงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเขาประกาศเริ่มต้นกระบวนการเจรจาสันติภาพกับกลุ่มตาลีบัน โดยทรัมป์ ระบุว่า ถึงเวลาต้องพอกันทีกับการละลายงบประมาณและกำลังพลไปกับสงครามที่ไม่มีวันจบ
กระบวนการเจรจาสันติภาพบรรลุข้อตกลง เมื่อสหรัฐฯยอมถอนกำลังทหารทั้งหมดในอัฟกานิสถาน แลกกับการที่ตาลีบันให้คำมั่นว่าจะเลิกสนับสนุนเครือข่ายกลุ่มก่อการร้ายทั้งหมดรวมกึงอัลไกดา
ถึงแม้มีคำเตือนว่า เป็นการเสี่ยงที่สหรัฐและพันธมิตรจะถอนทหารออกไปในช่วงที่ตาลีบันยังแข็งแกร่ง แต่ดูเหมือนสิ่งนี้เปลี่ยนใจผู้นำคนใหม่สหรัฐฯไม่ได้
ไม่นานหลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ย้ำจุดยินเดิมคือ ถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานอย่างสิ้นเชิง โดยกำหนดเส้นตายไว้คือ วันที่ 11 กันยายนที่จะถึงนี้ ซึ่งจะเป็นวันครบรอบ 20 ปีของเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน
แต่ก่อนเส้นตายจะมาถึง ทหารสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกจากแผ่นดินอัฟกานิสถานไปแล้ว การจากไปของสหรัฐฯอย่างสายฟ้าแลบ เปิดโอกาสตาลีบันที่รุกคืบพื้นที่คืบได้เรื่อย ๆ แต่ถึงกระนั้น ประธานาธิบดีสหรัฐฯก็ยังยืนยันคำเดิม ในวันที่ตาลีบันเริ่มประชิดเมืองหลวง ไบเดนยืนยันว่า เขาไม่เสียใจที่ถอนทหาร และถึงเวลาที่ชาวอัฟกันต้องดูแลตัวเอง
ในที่สุด ใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์ ตาลีบันที่มีกำลังอยู่ประมาณ 70,000 นาย สามารถยึดเมืองหลวง เอาชนะกองกำลังรัฐบาลที่มีอยู่ 300,000 นาย ที่สู้แบบไม่มีเป้าหมายเนื่องจาการความอ่อนแอของรัฐบาลและระบบในกองทัพได้อย่างง่ายดาย ลบล้างความเชื่อมั่นของผู้นำสหรัฐฯ ที่เคยบอกว่า กองกำลังรัฐบาลอัฟกานิสถานที่พวกเขาฝึกฝนมาเข้มแข็งพอในการต้านตาลีบัน
อนาคตของชาวอัฟกันนับล้านกำลังตกอยู่ในอันตรายและความไม่แน่นอน สงครามอัฟกานิสถานจะไม่ใช่เพียงสงครามที่ยาวนานที่สุดครั้งหนึ่ง ที่เริ่มตั้งแต่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลบู บุช บารัคโอบามา โดนัลด์ ทรัมป์ จนถึง โจ ไบเดน แต่ยังอาจเป็นครั้งที่ถูกบันทึกว่า นโยบายการทหารและต่างประเทศของสหรัฐผิดพลาด
เมื่อภารกิจในการตามล่าผู้ก่อการร้าย สกัดกั้นกลุ่มตาลีบัน และการฟื้นฟูอัฟกานิสถานที่ทำมากว่า 20 ปีต้องถูกตาลีบันพัดพังทะลายในเพียงไม่กี่วัน