เมื่อช่วงวันที่ 24 ธ.ค. ที่ผ่านมา เหตุปะทะระหว่างกองทัพเมียนมาต่อกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) และกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา ปะทุรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง หลังกองทัพเมียนมาเปิดยุทธการโจมตีทางอากาศ ถล่มหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงบริเวณริมชายแดนไทย-เมียนมา อ.แม่สอด จ.ตาก จนชาวเมียนมาหลายพันคนต้องหลบหนีข้ามมายังชายแดนไทย ขณะที่ชาวไทยเองก็ต้องหลบหนีออกจากพื้นที่แถบชายแดนเพื่อความปลอดภัย
ชาวเมียนมาเชื้อสายกะเหรี่ยงหนีภัยสงครามทะลักเข้าไทยนับพันคน
ชายแดนเมียนมาตึงเครียด ยิงอาร์พีจีเข้าแดนไทย
เมียนมาระอุ ทหารสังหาร-เผาพลเรือน
นอกจากนี้ ในวันที่ 25 ธ.ค. ยังมีพลเรือนอย่างน้อย 35 คนถูกกองกำลังทหารเมียนมาสังหารและจุดไฟเผา ใกล้กับหมู่บ้านโมโซ เมืองพะยูโซ รัฐกะยา ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ
ความรุนแรงโหดร้ายที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากความพยายามในการต่อต้านการครองอำนาจของรัฐบาลทหารเมียนมา ซึ่งก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของนาง อองซาน ซูจี ที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมา
เหตุการณ์ในระดับ “ช็อกโลก” นี้ มีสัญญาณเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ม.ค. ที่ทางกองทัพเมียนมาได้เคลื่อนขบวนรถหุ้มเกราะทหาร รถบรรทุกลำเลียงทหาร ในเมืองทางตอนเหนือของรัฐฉาน และในกรุงย่างกุ้ง เมืองหลวงเก่า โดยอ้างว่าเป็นการเคลื่อนกองกำลังเพื่อออกมาหาข้อมูลการทุจริตการเลือกตั้งของพรรค NLD ซึ่งได้รับคะแนนเสียงถล่มทลายในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อเดือน พ.ย. 2563
ความเคลื่อนไหวของกองทัพเมียนมาเป็นสัญญาณที่หลายฝ่ายมองว่า นี่อาจเป็นนำไปสู่การ “รัฐประหาร” ขณะที่เดียวกัน ในวันที่ 30 ม.ค. ทางกองทัพเมียนมาก็ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือ และอ้างว่า กองทัพจะปกป้อง และยึดมั่นในรัฐธรรมนูญ รวมถึงปฏิบัติตามกฎหมายต่อไป
เมียนมาส่อทำรัฐประหาร อ้างพบหลักฐาน พรรค NLD ของออง ซาน ซู จี โกงเลือกตั้ง
กองทัพเมียนมาสยบข่าวลือรัฐประหาร ยัน ยึดมั่นรธน.
แต่ดังคำว่า “คนกลมดั่งน้ำกลอกบนใบบัว” เพราะเช้ามืดวันที่ 1 ก.พ. โฆษกพรรค NLD เปิดเผยว่า นางอองซาน ซูจี หัวหน้าพรรคและผู้นำประเทศถูกทหารควบคุมตัวไปแล้ว รวมถึงคณะผู้นำประเทศคนอื่น ๆ ด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีรายงานพบกองกำลังทหารปรากฏตัวทั้งในกรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงในปัจจุบัน และ ย่างกุ้ง อดีตเมืองหลวง ด้านสถานีโทรทัศน์บางแห่งไม่สามารถออกอากาศได้ สัญญาณอินเทอร์เน็ตเริ่มใช้งานไม่ได้ในบางพื้นที่
พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ประกาศ ยึดอำนาจบริหาร-นิติบัญญัติ-ตุลาการทั้งหมด พร้อมประกาศภาวะฉุกเฉินในประเทศเป็นเวลา 1 ปี
โดยกองทัพอ้างว่า พบหลักฐานการทุจริตการเลือกตั้ง เช่น ปลอมบัญชีรายชื่อผู้ใช้สิทธิ์ ราว 8.6 ล้านรายชื่อจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกว่า 37 ล้านคน และมองว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.เมียนมา) เอื้อประโยชน์ให้กับพรรค NLD
บรรยากาศพร้อมไทม์ไลน์ "การประกาศยึดอำนาจรัฐบาลเมียนมา"
นอกจากนี้ คาดว่าปมหลักที่นำมาสู่การรัฐประหารคือ ความพยายามของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในการแก้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2008 (2551) ที่ถูกเขียนขึ้นโดยคณะกรรมการยกร่างซึ่งถูกแต่งตั้งโดย สภาความมั่นคงและการพัฒนาแห่งรัฐ หรือเอสพีดีซี ซึ่งเป็นคณะรัฐบาลทหารของเมียนมา เพื่อลดอำนาจของกองทัพ
หลังมีข่าวการรัฐประหารยึดอำนาจ มหาอำนาจทั่วโลก องค์กรสากลอย่างสหประชาชาติ ต่างออกมาประณามการกระทำที่เป็นภัยคุกคามต่อความเป็นประชาธิปไตยของเมียนมา และมีหลายชาติที่ขู่จะใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อเมียนมา
สหประชาชาติ ประณามรัฐประหารในเมียนมา
“ประชาธิปไตยถอยหลัง” ทั่วโลกร่วมประณาม ทหารยึดอำนาจในเมียนมา
นอกจากนี้ ประชาชนชาวเมียนมาในหลายพื้นที่ รวมถึงที่มาทำงานอยู่ในไทย ต่างเริ่มรวมตัวประท้วงต่อต้านการรัฐประหาร เช่นเดียวกับคนดงหลายคน เช่น ไป่ ทาคน นายแบบชื่อดัง ที่ออกมาโพสต์ข้อความเรียกร้องมหาอำนาจทั่วโลกให้ช่วยเมียนมา
นายแบบเมียนมา "ไป่ ทาคน" โพสต์ถึงรัฐประหาร วอนโลก ช่วยเมียนมา ช่วย "อองซาน ชูจี"
ขณะที่ประชาชนในบางเมืองของเมียนมาเอง ก็มีการ “อารยะขัดขืน” โดยบีบแตรรถรอบเมือง บ้างนำเครื่องครัว หม้อ กระทะออกมาใช้ไม้ตี เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านการรัฐประหาร และเรียกร้องให้ปล่อยตัว นางอองซาน ซูจี พร้อมกับคณะ
บรรยากาศ “อารยะขัดขืน” เสียงต้านรัฐประหารเมียนมา
ซึ่งทางฝั่งกองทัพเมียนมาเอง ก็ออกมาตอบโต้ ด้วยการพยายามปิดกั้นเสียงของประชาชน โดยปิดกั้นการเข้าถึงโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และทวิตเตอร์ รวมถึงมีหลายสื่อที่ถูกควบคุมการรายงานข่าว
โต้กลับอารยะขัดขืนต้านรัฐประหาร เมียนมาปิดกั้นการใช้เฟซบุ๊ก
บล็อกเพิ่ม! กองทัพเมียนมาสั่งปิดกั้นทวิตเตอร์และอินสตาแกรม
สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น เมื่อประชาชนเริ่ม “ลงถนน” ประท้วงต่อต้านกองทัพ จนต้องมีการฉีดน้ำสลายการชุมนุม และประกาศใช้กฎอัยการศึก ยกระดับการควบคุมประชาชนมากขึ้น เริ่มมีการใช้กระสุนยางและกระสุนจริงยิงใส่ประชาชน เมียนมาก้าวไปสู่จุดที่ถอยพลังไม่ได้ เมื่อในที่สุดก็มีประชาชนเสียชีวิตจากคมกระสุนของกองทัพ
หนึ่งในนั้นคือ มะ เมียะ เทว็ต เทว็ต ข่าย (Ma Mya Thwet Thwet Khine) เป็นนักศึกษาหญิงวัย 20 ปี กำลังศึกษาอยู่ในคณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่สถาบันแห่งหนึ่ง เธอเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งได้มีโอกาสเลือกตั้งเป็นครั้งแรก หรือที่เรียกว่า First Time Voter หรือ Virgin Voter โดยเธอเพิ่งได้มีโอกาสลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา
ในวันที่ 9 ก.พ. หลัง มะ เมียะ เทว็ต เทว็ต ข่าย และคนในครอบครัวได้เดินทางไปเข้าร่วมการชุมนุมที่กรุงเนปิดอว์ วันนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม มีการนำรถฉีดน้ำแรงดันสูง กระสุนยาง ไปจนถึงกระสุนจริงมาใช้ จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ
มะ เมียะ เทว็ต เทว็ต ข่าย กำลังหลบอยู่หลังรถบัสเพื่อใช้เป็นที่กำบังจากปืนฉีดน้ำ และเธอก็ไม่ได้พยายามที่จะฝ่าแนวกั้นของตำรวจในที่เกิดเหตุ จู่ ๆ เธอทรุดตัวลงอย่างกะทันหันหลังจากถูกกระสุนปืนเข้าที่ศีรษะ เธอมีภาวะสมองตายมาตั้งแต่วันนั้น และเสียชีวิตในวันที่ 13 ก.พ. ในที่สุด
ตร.เมียนมายิงกระสุนยางใส่ม็อบต้านรัฐประหาร
“มะ เมียะ เทว็ต เทว็ต ข่าย” นศ.เมียนมาเลือกตั้งครั้งแรกและครั้งสุดท้าย หลังถูกยิงเสียชีวิต
ที่น่าสลดคือ เธอเป็นเพียงเยาวชนรายแรก ๆ เท่านั้น ที่เสียชีวิตจากเหตุประท้วงต่อต้านกองทัพเมียนมา เพราะมีเด็กและเยาวชนจำนวนมาก ที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของกองทัพ ทั้งจากการปะทะ จากกระสุนลูกหลง ไปจนถึงจากการบุกค้นตามบ้านประชาชน
เด็ก 7 ขวบในมัณฑะเลย์เสียชีวิต เหยื่อปืนกองทัพเมียนมาที่อายุน้อยที่สุด
เด็กเมียนมาเสียชีวิตแล้ว 43 ราย “เมียนมาไม่ปลอดภัยสำหรับเด็กอีกต่อไป”
สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง (AAPP) ระบุว่า ณ เดือน พ.ย. มีผู้ประท้วงเสียชีวิตมากกว่า 1,200 ราย ถูกจับ ถูกตั้งข้อหา หรือถูกตัดสินจำคุกกว่า 7,300 ราย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กองทัพเมียนมายังได้ตั้งข้อหาต่อนางอองซาน ซูจี และคณะอยู่เป็นระยะ และยังคงปะทะกับประชาชน กลุ่มต่อต้าน กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ อยู่เสมอ เกิดความรุนแรงครอบคลุมหลายพื้นที่ของเมียนมา มีพลเรือนทั่วไปได้รับลูกหลงและได้รับผลกระทบจำนวนมาก
สรุปคำพิพากษา "ศาลเมียนมา" จำคุกอองซาน ซูจี
อดีตสมาชิกพรรคของ อองซาน ซูจี ถูกตัดสินโทษจำคุกเกือบร้อยปี
ตลอดระยะเวลาประมาณ 10 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่กองทัพเมียนมากระทำการรัฐประหาร ภาพที่ปรากฏออกมาคือความรุนแรง ความสูญเสีย และภัยคุกคามต่อความเป็นประชาธิปไตยของประเทศ
การต่อสู่ระหว่างกองทัพกับแนวคิดประชาธิปไตยในเมียนมาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาช้านาน โดยหลังเมียนมาได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 2491 ช่วงแรกก็มีการปกครองแบบชาติประชาธิปไตย และหลังรัฐประหารในปี 2505 เมียนมาก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการทหารมาตลอด จนเกิดการปฏิวัติระดับชาติเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศพม่า เมื่อปี 2531 เกิดการประท้วงและปะทะกับกองทัพ จนมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 3,000 ราย นับเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งใหญ่ที่สุดในเมียนมา
หลังจากเหตุการณ์นั้น รัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพได้ประกาศว่าจะมุ่งหน้าสู่การสร้างประชาธิปไตย ตั้งแต่ปี 2536 แต่หยุดชะงักไปหลายครั้ง โดยทุกครั้งที่พรรคฝ่ายประชาธิปไตยชนะการเลือกตั้ง จะเกิดการปฏิเสธผลการเลือกตั้งจากฝั่งทหาร และมักหยิบยกเรื่องของการโกงเลือกตั้งมาเป็นข้ออ้างอยู่บ่อยครั้ง
ฉะนั้นแล้วในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของเมียนมา จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวของการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยเสมอมา แต่เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันที่ซ้อนทับเป็นภาพเดียวกันนี้ ก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า หากในอนาคตยังคงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เมียนมาอาจจะกลายเป็นดินแดนที่ประชาธิปไตยไม่อาจผลิบานไปตลอดกาล